ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าคืออะไร
โรคซึมเศร้าเป็นการป่วยทั้ง ร่างกาย จิตใจและความคิด ซึ่งผลของโรคกระทบต่อชีวิตประจำวันเช่นการรับประทานอาหาร การหลับนอน ความรับรู้ตัวเอง ผู้ป่วยไม่สามารถประสานความคิด ความรู้สึกของตัวเพื่อแก้ปัญหา หากไม่รักษาอาการอาจจะอยู่เป็นเดือน
โรคซึมเศร้ามีกี่ชนิด
  1. Major depression ผู้ ป่วยจะมีอาการ(ดังอาการข้างล่าง)ซึ่งจะรบกวนการทำงาน การรับประทานอาหาร การนอน การเรียน การทำงาน และอารมสุนทรีย์ อาการดังกล่าวจะเกิดเป็นครั้งๆแล้วหายไปแต่สามารถเกิดได้บ่อยๆ
  2. dysthymia เป็นภาวะที่รุนแรงและเป็นเรื้อรังซึ่งจะทำให้คนสูญเสียความสามารถในการทำงานและความรู้สึกที่ดี
  3. bipolar disorder หรือ ที่เรียกว่า manic-depressive illness ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งบางคนอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะค่อยเป็นค่อยไป เวลาซึมเศร้าจะมีอาการมากบ้างน้อยบ้าง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นช่วงอารมณ์ mania ผู้ป่วยจะพูดมาก  กระฉับกระเฉงมากเกินกว่าเหตุ มีพลังงานเหลือเฟือ ในช่วง mania จะมีผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจและพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะหลงผิด หากไม่รักษาภาวะนี้อาจจะกลายเป็นโรคจิต
อาการของโรคซึมเศร้า
ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจจะไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกอย่างบางคนก็มีบางอย่างเท่านั้น
อาการซึมเศร้า depression
  1. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้แก่
  • รู้สึกซึมเศร้า กังวล อยู่ตลอดเวลา
  • หงุดหงิดฉุนเฉียว โกรธง่าย
  • อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย
  1. การเปลี่ยนแปลงทางความคิด
  • รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
  • รู้สึกผิด รู้สึกตัวเองไร้ค่า ไม่มีทางเยียวยา
  • มีความคิดจะทำร้ายตัวเอง คิดถึงความตาย พยายามทำร้ายตัวเอง
  1. การเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้หรือการทำงาน
  • ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความสนุก งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่เพิ่มความสนุกรวมทั้งกิจกรรมทางเพศ
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีพลังงาน การทำงานช้าลง การงานแย่ลง
  • ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม การตัดสินใจแย่ลง
  1. การเปลี่ยนปลงทางพฤติกรรม
  • นอนไม่หลับ ตื่นเร็ว หรือบางรายหลับมากเกินไป
  • บางคนเบื่ออาหารทำให้น้ำหนักลด บางคนรับประทานอาหารมากทำให้น้ำหนักเพิ่ม
  • มีอาการทางกายรักษาด้วยยาธรรมดาไม่หายเช่น อาการปวดศีรษะ แน่นท้อง ปวดเรื้อรัง
  • ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นแย่ลง
อาการ Mania
  • มีอาการร่าเริงเกินเหตุ
  • หงุดหงิดง่าย
  • นอนน้อยลง
  • หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองใหญ่
  • พูดมาก
  • มีความคิดชอบแข่งขัน
  • ความต้องการทางเพศเพิ่ม
  • มีพลังงานมาก
  • ตัดสินใจไม่ดี
  • มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป

สาเหตุของโรคซึมเศร้า
  1. พันธุ์กรรม พบว่าโรคซึมเศร้าชนิด bipolar disorder มักจะเป็นในครอบครัวและต้องมีสิ่งที่กระตุ้น เช่นความเครียด
  2. มี การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองหรือสารเคมีในสมองการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของ สารเคมี ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง มีผลต่ออารมณ์ซึมเศร้าของคน (โดยเฉพาะสารสีโรโทนิน นอร์เอปิเนพริม และโดปามีน)
  3. ผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
  4. โรคทางกายก็สามารถทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เช่นโรคหัวใจ อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยมาสนใจดูแลตัวเองโรคจะหายช้า
  5. มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในเลือด เช่นวัยทอง หรือหลังคลอดก็สามารถทำให้เกิดอาการซึมเศร้า
  6. ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุต่างเช่น การสูญเสีย การเงิน การงาน ปัญหาในครอบครัวก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรงซึมเศร้า
  7. ผู้ที่เก็บกดไม่สามารถแสดงอารมณ์ออมา เช่นดีใจ เสียใจหรืออารมณ์โกรธ
  8. ผู้ที่ด้อยทักษะต้องพึ่งพาผู้อื่น
โรคซึมเศร้าในผู้หญิง
ผู้หญิง จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชาย 2 เท่าเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเช่น การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การแท้ง ภาวะหลังคลอด วัยทอง เป็นต้น นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดจากความเครียดที่ต้องรับผิดชอบทั้งในบ้านและงานนอก บ้าน การรักษาให้ญาติเข้าใจภาวะของผู้ป่วยและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย
โรคซึมเศร้าในผู้ชาย
แม้ ว่าโรคซึมเศร้าในผู้ชายจะพบน้อยกว่าผู้หญิงแต่อัตราการฆ่าตัวตายจะสูงกว่า ผู้หญิง โรคซึมเศร้าในผู้ชายจะเกิดโรคทางกายพบว่าอัตราการเกิดโรคหัวใจจะสูงมาก ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้ยาเสพติดและสุราเป็นตัวแก้ไข บางคนก็มุ่งทำงานหนัก ผู้ป่วยจะไม่มีความรู้สึกสิ้นหวังหรือท้อแท้แต่จะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะวินิจฉัยโรคนี้ แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าผู้ป่วยก็มักจะปฏิเสธการรักษา
โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ
คน ส่วนใหญ่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นภาวะปกติของผู้สูงอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมาด้วยอาการทางกาย นอกจากนั้นอาการต่างๆอาจจะเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ใช้รักษาโรค หากสามารถวิเคราะห์ว่าเป็นโรคซึมเศร้าจริงและให้การรักษาจะทำให้ผู้สูงอายุ มีความสุข
โรคซึมเศร้าในเด็ก
เด็กๆก็เป็นโรค ซึมเศร้าเหมือนกับผู้ใหญ่โดยจะมีอาการ แกล้งป่าย ไม่ไปโรงเรียน ติดพ่อแม่ กังวลว่าพ่อแม่จะเสียชีวิต  ส่วนเด็กโตจะนิ่งไม่พูด มีปัญหาที่โรงเรียน มองโลกในแง่ร้าย แต่เนื่องจากพฤติกรรมของเด็กมีความผันผวนดังนั้นการวินิจฉัยจึงยาก หากพ่อแม่หรือคุณครูพบว่าพฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป กุมารแพทย์จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาการรักษา
การวินิจฉัย
แพทย์ ทั่วไปจะตรวจร่างกายเพื่อจะหาสาเหตุทางกาย เช่นโรคติดเชื้อไวรัส หรือยาที่ผู้ป่วยรับประทาน ประวัติการดื่มสุรา ยาเสพติด ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย หากสงสัยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าจิตแพทย์ก็จะประเมินสภาวะจิตใจของผู้ป่วย
การรักษา
  1. การ ช้อคไฟฟ้า Electroconvulsive therapy (ECT) เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นรุนแรง หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานยา๖นโทมนัส หรือใช้ยาแล้วไม่ได้ผล
  2. การใช้ยาต้านโทมนัส ยาที่ใช้รักษามีด้วยกันหลายกลุ่มได้แก่
  • selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)
  • tricyclics
  • monoamine oxidase inhibitors (MAOIs) ผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้จะต้องระวังอาหารที่มีส่วนผสมของ tyramine ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตขึ้นสูง อาหารดังกล่าวได้แก่ cheeses, wines,  pickles, ยาลดน้ำมูก
เพลงเศร้าเหงาใจ
แพทย์อาจจะเลือกใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งหรือใช้ ยาหลายชนิดรวมกัน โดยมากจะเริ่มเห็นผลใน 2-3 สัปดาห์และให้รับประทานต่อไปประมาณ 1 เดือนยาจะออกฤทธิ์เต็มที่เมื่อรับยาไปแล้ว 8 สัปดาห์ ช่วงแรกของการรับประทานยาอาจจะเกิดผลข้างเคียงของยาก่อนจะเห็นผลดีให้รับ ประทานต่อ เมื่ออาการดีขึ้นอย่าเพิ่งหยุดยาจนกระทั่งไปทำงานได้โดยจะต้องรับประทาน 4-9 เดือน โดยแพทย์จะค่อยๆหยุดยาเพื่อให้ร่างกายปรับตัว
ผลข้างเคียงของยา
ผลข้างเคียงพบได้ไม่รุนแรงหายเองได้ แต่หากเกิดผลข้างเคียงที่รบกวนคุณภาพชีวิตให้ปรึกษาแพทย์ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ
  • ปากแห้ง แก้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือดื่มน้ำมากๆ
  • ท้องผูก แก้โดยการรับประทานผลไม้ให้มาก
  • ปัสสาวะไม่พุ่งหรือปัสสาวะลำบาก
  • ตามัว
  • เวียนศีรษะ
  • ง่วงนอน
ผลข้างเคียงของยากลุ่มใหม่
  • ปวดศีรษะ อาการนี้จะหายไปเอง
  • คลื่นไส้อาเจียนซึ่งเป็นชั่วคราว
  • นอนไม่หลับและหงุดหงิด
  • ปัญหาทางเพศสัมพันธ์
  • กระวนกระวาย
การดูแลตัวเอง
ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะท้อถอย สิ้นหวัง ไม่มีค่า ทำให้ผู้ป่วยยอมแพ้ โปรดจำไว้ว่าความรู้สึกและความจริงไม่เหมือนกัน
  • ให้ดำเนินชีวิตตามตารางงาน
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
  • ให้ค่อยๆเพิ่มรับผิดชอบงานที่ได้รับ
  • ตั้งเป้าหมายให้สามารถทำได้ อย่าให้เกินความสามารถของตัวเอง
  • อย่าทำงานใหญ่เกินตัว แบ่งงานเป็นโครงการเล็กๆ ให้จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของงาน
  • ให้มีสังคมกับผู้อื่นเพราะการอยู่คนเดียวจะทำให้อาการเป็นมากขึ้น
  • ให้มีกิจกรรมที่ชอบเช่น การเล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง
  • อารมณ์จะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆหลังการรักษา
  • หากจะต้องมีการตัดสินใจสำคัญ เช่น การแต่งงาน การเปลี่ยนงาน ให้เลื่อนไปก่อนจนกระทั่งอาการซึมเศร้าดีขึ้น
  • นอนพักอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ก่อนรับประทานยาใหญ่ให้ปรึกษากับแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
ลองตรวจสอบตัวท่านหรือคนใกล้เคียงว่ามีใครเป็นโรคซึมเศร้าบ้าง

หาความสุขให้ชีวิตกับ30วิธีง่ายๆ


1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของเธอได้
4. หลับตานิ่ง ๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากจัง
5. ระหว่างแปรงฟังถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบ จะทำให้ฟังสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก้อจะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก้อต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8. การขึ้นบันไดสูง ๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไหร่
9. คนตาบอดจะเห็นว่าเธอสวยมาก ๆ ทันทีที่เธอถามเค้าว่า " ช่วยพาข้ามถนนไหมค่ะ "
10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11. ควรหัดพูดคำว่า " ไม่เป็นไร " ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า " จะเอายังไง "
12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟัง
14. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15. เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อย ๆ
16. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้
17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่า ๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18. ก่อนจะซื้ออะไรก้อตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
19. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อย ๆ ก้อจะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20. ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าเธอคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22. ในวันที่รู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะดีขึ้น
23. แอบรักใครซักคน ยังไงก้อดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สัก รัก มันเป็นยังไง
24. ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ก้อไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวย ๆ หล่อ ๆ ไม่ได้นิ
25. ฝึกโรแมนติกง่าย ๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26. ถ้าเธอเช็ดกระจกบานที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมเธอจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุกแต่ก้อมีประโยชน์แฝงอยู่
28. วันที่ตื่นเช้า ๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายนะ
29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านมาก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้เธอเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท 

ข้อดีของชีวิตโสด


วันนี้ เรากำลังจะบอกคุณ ๆ ทั้งหลายที่โสดว่า จงภูมิใจไว้เถิด ความโสดของคุณน่ะ ช่างมีคุณค่าและน่าหวงแหนจะตายไป ใคร ๆ ก็พากันอิจฉา ไม่ได้โสดแล้วมีความสุขกันง่าย ๆ อย่างที่เห็นหรอกจะบอกให้ แต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณโสดแล้วสุขได้น่ะนะคุณเอ๊ย มันจะเป็นความสุขที่คุณสร้างขึ้นได้ด้วยสมอง สองมือบวกด้วยหัวใจของตัวคุณเอง และคุณจะรู้สึกว่าคุ้มค่าเหลือเกินที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ก็เพราะว่า...

ข้อดีของชีวิตโสดมีมากมาย
- คุณลองตรองดูดี ๆ ชีวิตนี้ใครจะสุขีได้เท่าเรา ทำงานคนเดียวใช้เงินคนเดียว เที่ยวก็  สบายใจ
- ไม่ต้องคอยโทรฯหาใคร ประหยัดค่าโทรศัพท์ไปได้โข
- ชีวิตนี้มีแต่คำว่าอิสระเสรี ในขณะที่ใครหลาย ๆ คน สะกดคำนี้ยังไม่เป็น
- คุณจะเป็นอินดี้ตัวจริงของแท้ ก็ Independent แปลว่า “อิสรภาพ”
- คุณจะเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่สุดกำลัง จะบ้าแหวกแนว หรือ’ติ๊สท์รับประทานเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องแคร์ใคร
- คุณไม่ต้องเก๊กฟอร์มให้ตัวเองดูดีอยู่ได้ทุกนาที เพราะกลัวคนรักจะรับในความอุบาทว์ของตัวเราไม่ได้
- ชีวิตนี้คุณเคยมีความฝันเป็นของตัวเองบ้างไหม  ถ้ามีคุณสามารถลงมือทำได้ทุกเมื่อ  บางทีการมีแฟนก็หมายถึงการที่เราต้องไปแชร์ความฝันร่วมกันกับเขาหรือเธอคน นั้น โดยที่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
- หมดเรื่องที่จะบั่นทอนกำลังใจในชีวิตไปได้อีกหนึ่งเรื่อง
- ไม่ต้องมีพันธะกับใครทั้งทางใจและกาย
- มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่ได้ดูแลตัวเอง หาความสุขให้ตัวเอง ส่วนจะเป็นวิธีไหนนั้น พบคำตอบได้ในหัวข้อต่อไป
- ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร แต่ถ้าจะเปลี่ยน เงื่อนไขคือ เพื่อตัวเราเอง!
- คุณจะเป็นที่รักของใครหลายคนพี่น้อง เพื่อนฝูง เพราะเขาจะเห็นว่าคุณคือคนที่มีเวลาให้พวกเขาได้ทุกเวลา
- จำไว้ชีวิตของคนโสด มิตรภาพ ความฝัน และตัวของฉัน จะมีความสำคัญมาเป็นอันดับที่ 1
- คุณมีเปอร์เซ็นต์เรียนรู้โลกกว้างใบนี้ได้มากกว่าคนไม่โสดถึง 90%
- บทเพลงของความเหงาก็ซึ้งได้พอ ๆ กับบทเพลงของความรักหรือเรื่องราวอกหัก รักคุด ลองหาฟังดู

โสดไลฟ์สไตล์
....นี่คือหนทางแห่งการค้นหาความสุขให้ตัวเองด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
- การไปดูหนังคนเดียวมันก็สนุกไปอีกแบบ หนำซ้ำคุณจะได้จดจ่ออยู่กับหนังจนเรียกได้ว่า นี่แหละคือการมาดูหนังอย่างแท้จริง
- โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก เกิดมาแค่ชีวิตเดียว ก็ยังเที่ยวไม่หนำใจเลย  เพราะฉะนั้นออกเดินทางสู่โลกกว้างซะตั้งแต่วันที่คุณยังมีพลังดีกว่า เดี๋ยวจะไม่คุ้มค่าหากถึงเวลาที่คุณต้องจากโลกนี้ไป
- การไปไหนมาไหนคนเดียวสนุก ตื่นเต้น  และน่าผจญภัยเป็นที่สุด
- ออกเที่ยวกับเพื่อนฝูงได้เสมอ สิ่งที่คุณจะได้กลับมาก็คือ คุณจะตระหนักได้ถึงคำว่ามิตรภาพมากขึ้นด้วย
- ทุ่มเทให้กับการทำงานและความฝัน
- ชีวิตมีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะ และไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการได้ทำตามใจตัวเอง
- ทำไมต้องทำอะไรตามใครจะมีแฟนก็ต่อเมื่อมีความรัก ถ้าความรักมันไม่เกิดก็ไม่ต้องไปมีมัน ดูเป็นคนมีอุดมการณ์ออกจะตาย ไม่จำเป็นและดูไร้สาระมาก หากต้องมีแฟนเพื่อไม่ให้ตกยุค
- อยากทำอะไรที่ชีวิตไม่เคยทำบ้าง ทำเป็นลิสต์ออกมา ตั้งใจทำทีละอย่างให้ลุล่วง เต็มที่ไปเลย
- คุณคิดจะรักใครชอบใครเมื่อไหร่ก็ได้ หากเป็นแค่ความชอบโดยไม่ต้องต่อยอดไปสู่ความรัก ความรู้สึกเวลาที่ไปแอบชอบใครสักคนเนี่ย  มันก็มีความสุขไปอีกแบบ หัวใจคุณจะตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ทุกครั้งที่เขาหรือเธอเดินผ่านมา แม้แค่เพียงเสียงเดินคุณก็ยังจำได้ ถ้าไม่โสดความรู้สึกแบบนี้มันไม่สนุกหรอกนะจ๊ะ
- อุทิศเวลาให้สังคมบ้างก็จะเป็นโสดเพื่อการกุศล
เงื่อนไขที่คนโสดต้องรับได้และการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส

- ไม่สนุกหรอกกับการที่จะต้องมานั่งกลุ้มใจเรื่องความรัก เอากำลังใจที่เหลือของชีวิตไปสร้างสรรค์ด้านดี ด้านอื่น ๆ ในชีวิตจะเกิดประโยชน์เสียมากกว่า
- ความโสดคนละเรื่องกับการขึ้นคาน คุณต้องแยกให้ออก
- นั่นหมายถึง คุณต้องรักและพึงพอใจในสถานะของตัวเองที่จะโสดอยู่อย่างนี้  และคุณพอใจที่จะไม่เลือกใครมาเป็นคู่ครอง
- คุณต้องรักชีวิตตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด  จากนั้นความรักจึงถูกเจือจานสู่ผู้อื่น
- โสดก็คือโสด ไม่มีรูปแบบ ไม่ต้องมานั่งแยกประเภทของความโสดกันหรอก ไม่ว่าคุณจะตั้งใจโสดหรือไม่ก็ตาม
- อีกเรื่องที่ต้องแยกแยะคือ คุณไม่ได้ขี้เหนียวความรักหรือหัวใจ คนโสดไม่ได้หมายความว่าไม่มีหัวใจหรือความรัก แต่คุณไม่ต้องการมีพันธะต่างหากเล่า
- แม้จะเหงาบ้างและเหงาบ่อย แต่ความเหงาไม่ทำให้คนตายได้
- หากคุณเก็บเกี่ยวเอาความเหงามาพลิกด้านให้มันเป็นแรงบันดาลใจชั้นดี ทำให้คุณหาหนทางทำลายมันด้วยการหางานอดิเรกทำ ไม่แน่ว่าคุณอาจค้นพบวิถีชีวิตที่คุณรักก็ได้
- อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาที่คอยถามไถ่แกมจิกถึงเรื่องแฟน อธิบายพวกเขากลับไปว่าคุณมีความสุขกับชีวิตโสดมากแค่ไหน เอาให้เขาอิจฉาคุณจนจ๋อยกลับไปเลย
- คุณแค่ไม่มีแฟนแต่คุณก็ยังมีความรักในหัวใจได้เสมอ ก็รักครอบครัว รักตัวเอง รักหมา   แมว รักดนตรี รักศิลปะ รักเพื่อนฝูง พี่น้องรอบข้างยังไงล่ะ
- อย่าไปเชื่อหากใครบอกว่า การมีใครสักคน สามารถเติมเต็มชีวิตของคุณได้ ความจริงข้อนี้ถูกแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ การมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตอาจดูดชีวิตของคุณให้หายไปทั้งชีวิตเลยก็ได้



จงมีความสุขกับความโสดในทุก ๆ วัน แล้วชีวิตโสดของคุณจะได้...ขำ ๆ ค่ะ ขำ ๆ !.

หาความสุขให้ชีวิต


วิธี สร้างความสุขให้กับชีวิตมีหลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะเลือกวิธีใหน แต่๑๐วิธีที่นำเสนอมีผู้แนะนำมาให้ลองปฏิบัติดูหากยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้น อย่างไร
1. วันว่าง
ลอง ให้วันทั้งวันอยู่กับการว่าง ไม่มีนัด ไม่ไปธุระที่ไหน ไม่กำหนดตารางอะไรให้ชีวิต จะทำกิจวัตรอะไรก็ให้เป็นแบบช้าๆ สบายๆ ไม่รีบเร่ง อยู่กับแต่ละกิจกรรมอย่างเต็มร้อย ให้ใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริงกับการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ วันว่างๆ จะช่วยเติมเต็มพลังกายและใจให้แก่เรา แถมยังช่วยลดใช้พลังงานโลกด้วย
วันนั้นอาจจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายกว่าปกติสักนิด อาบน้ำแบบมอบความทะนุถนอมให้กับร่างกาย เบิกบานกับอาหารเช้าที่ดีกับสุขภาพ เปิดประตู เปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติ เดินสำรวจละแวกบ้าน ถ้าจะหยิบหนังสือที่ซื้อไว้ตั้งนานแต่ยังไม่ได้อ่านสักทีมาอ่านก็ไม่ผิดกฎอะไร ตกคํ่า
จะลองทานมื้อเย็นใต้แสงเทียน ให้หลอดไฟกับมิเตอร์ได้พักผ่อนก็ให้ความรู้สึกพิเศษดีเช่นกัน
2 . หายใจเล่น
สำหรับ คนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่เงียบๆคนเดียว ติดทีวี ติดโทรศัพท์ อาจลองหาเวลาตีสนิทกับเพื่อนใกล้ตัวของเราทั้งสอง คือ คุณลมหายใจเข้า และคุณลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เดิน นอน หรือ เคลื่อนไหว เราจะตระหนักรู้ถึงเพื่อนสองคนนี้อยู่เสมอ หมั่นเช็คอยู่เรื่อยๆว่า เพื่อนทั้งสองคนของเรามีสภาพอย่างไร ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า เมื่อเราดูแลลมหายใจ ลมหายใจก็จะดูแลเรา การดุแลกันและกันเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อทางร่างกายและจิตใจ ความสงบที่เกิดจากภายในจะส่งผลที่น่าประทับใจถึงภายนอก ในเวลาที่เราต้องเผชิญกับเรื่องยากๆ ต้องคิด ตัดสินใจ และทำอะไรอยู่ตอลดเวลา การได้พักสัก 15 นาที หรือสักชั่วโมงจะช่วยให้หัวที่เคยหมุนจนร้อน ใจที่เต้นรัวเร็ว ร่างกายที่เครียดตึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
3. ชื่นชมธรรมชาติ
ไม่ต้องรอให้ถึงวันพักร้อน แค่ตื่นเช้าขึ้นสักนิด ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ให้แสงแรกของพระอาทิตย์ล้างตาให้สะอาด ช่วงสายๆ อาจจะมองท้องฟ้าสัก 5-10 นาที ดู เมฆที่ค่อยๆ เปลี่ยนรุปก็เติมความสดชื่อนได้ดี บ่ายคล้อยเดินเล่นให้สายลมเย็นปะทะหน้าเบาๆ สูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ได้เวลาพลบค่ำปิดไฟให้หมด จะได้ห็นดาวและเดือนที่ลอยเกลื่อนฟ้าได้ชัดขึ้น ให้เวลาธรรมชาติได้บำบัดเราทั้งกายและจิตใจ
4. สลายไขมัน
สำหรับคนบ้าพลัง คนกลัวอ้วน คนไม่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายให้ได้เหงื่อจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น หรืออาจว่ายน้ำในความเงียบ ซึ่งนั้นหมายถึงรวมไปถึงเสียงในหัวเราด้วย ลองว่ายไปเรื่อยๆ ตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เสียงในหัวเราจะค่อยๆ เงียบลงเอง หรืออาจจะลองปั่นจักรยานรับลม สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโรฟิน) แล้วยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย
5. ศิลปินสมัครเล่น
หยิบดินสอหรือสี ขึ้นมาวาดรูปแบบไม่ห่วงสวย ปลอดปล่อยจินตนาการ ให้ความเป็นเด็กในตัวออกมามีชีวิตผ่านงานศิลปะ หรือ ประดิษฐ์งานฝีมืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราได้มีพื้นที่และอิสนระจากความคิด ความยึดติด ทั้งนี้พบว่า การถักนิตติ้งช่วยสงบใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเสริมสร้างสมาธื บำบัดความเบื่อหน่าย ความเครียด และแรงกดดันจากการทำงาน ทั้งยังได้ผลงานเป็นของขวัญให้คนรอบข้างอีกด้วย เรียกว่า บำบัดใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ

6. สุขใจกับงานบ้าน
การ ได้ลงมือ ปัดกวาดเช็ดถู จัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดแต่งใบเสีย ล้วนเป็นโอกาส ให้เราได้กลับมาปัดกวาดเช็ดถู จัดระเบียบ และรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขให้ใจเราได้เติบโต งอกงาม สะอาด และใหม่สดอยู่เสมอ "บ้านสะอาดสดใส ใจก็งดงาม"
7. สนทนาใจ
ใช้ เวลากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกัน ช่วยฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตระหนักรู้ว่า เรามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ หาวันว่างยามบ่าย บรรยากาศสบายๆ ที่บ้านใครสักคน นั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในวิถีแห่งสติ อาจเป็นความตื่นเต้นจากความรับผิดชอบใหม่ๆ หรือมองเห็นความสดใหม่ในงานเก่าหรือจะเป็นผู้คนที่เราพบเจอได้เรียนรู้ ความสุขที่เรามี หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า เรื่องอกหัก ความทุกข์ใจ ความยากลำบากในครอบครัวที่ต้องเผชิญ อื่นๆอีกมากมายที่เราพร้อมเปิดใจแบ่งปันต่อกัน การได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันอย่างเต็มเปี่ยมถือเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยง ซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องใช้สตางค์
8. กลับบ้านแล้ว
ใช้ เวลาเพื่อพูดคุย ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น ลองเริ่มจากการบอกกล่าวความรู้สึกภายในกับคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวขอโทษสิ่งที่เราอาจจะพลาดพลั้งไปจนทำให้อีกฝ่ายเสียใจ หรือกล่าวขอบคุณในความน่ารัก ความดีที่อีกฝ่ายได้ทำให้แก่เรา หรือเลือกกิจกรรมที่ชอบด้วยกันที่บ้าน เช่น ดื่มน้ำชา กินขนม ทำอาหารด้วยกัน นอนดูหนังเรื่องโปรด อ่านหนังสือ ผลัดกันเล่านิทาน เล่นเกม ออกกำลังกาย ร้องเพลง เล่นดนตรี ปิดท้ายด้วยการกอดสมาธิก็อบอุ่นดีไม่น้อย
9 แบ่งปันด้วยใจ
แบ่ง ปันเวลาทำประโยชน์เพื่อคนอื่นและสังคม บางคนอาจเริ่มต้นง่ายๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น โปรยอาหารให้นกตัวน้อยๆ ในสวนที่บ้าน เดินเก็บขยะแถวบ้าน รื้อข้าวของที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่ค่อยได้ใช้ (แถมได้ฝึกการตัดใจด้วย) มาทำความสะอาดแล้ว นำไปบริจาคหาเจ้าของที่คู่ควรคนใหม่ หรือจะเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ ก็มีให้เลือกมากมาย


เพลงคนกำลังมีความสุข

กินแป้งอย่างไรไม่ให้อ้วน


“แป้ง” กินไม่อ้วนมีคำตอบ! คุณผู้หญิงที่ชอบบริโภคแป้งกันเป็นจำแต่ยังคงอยากจะลดน้ำหนักแต่ยังไงก็คงจะ ห้ามปากไม่ได้สักทีที่ชอบกินแป้งใช่ไหมล่ะ สำหรับคุณผู้หญิงที่อยาก กินไม่อ้วน วันนี้เราก็มีคำแนะนำให้คุณได้ลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักได้อย่างสมใจแถมยัง ได้ทานแป้งได้ตามใจคุณอีกด้วยนะ ฮันแน่อยากรู้วิธี กินไม่อ้วน กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ นั้นเรามาดูนำแนะนำในการบริโภค “แป้ง” กินไม่อ้วน “ทำได้นะ!!”

กันเลยดีกว่า แล้วอย่าลืมนำ วิธีกินไม่อ้วน ไปใช้กันด้วยนะ“แป้ง” กินไม่อ้วนการลดน้ำหนัก ที่ถูกที่สุดและปลอดภัยที่สุดคือ การทานอาหารครบทุกมื้อครบทุกหมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่ใช่การหยุดทานแป้งหรือขยาดแป้งชนิดปฏิเสธเสียงแข็งชาตินี้จะไม่ทานแป้ง อีกเลย เพราะถ้าทำเช่นนั้นโรคขาดสารอาหารจะจ่อคิวรอแม้ว่าน้ำหนักจะลดได้จริงการที่คุณไม่ทานแป้งเลยแล้วทานอาหารน้อยเกินไปจะส่งผลเสียเสมือน คอมพิวเตอร์ 

เข้าสู่ Save Mode พอน้ำหนักลดลงได้ก็หนีไม่พ้นอาการโหยหาแป้ง น้ำตาลและขนมหวานทำให้กลับมาอ้วนได้อีกอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบตั้งรับแทบ ไม่ทันดังนั้นถ้ากลัวอ้วนก็ต้องระมัดระวังอย่าตามใจปากและควรเลือกทานแป้งและ น้ำตาลที่มีดัชนีไกล ซีมิกต่ำดัชนีนี้เป็นตัววัดว่าอาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของ กลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไรระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น

โดยปกติกลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่น ๆ ก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55 – 70 จัดว่ามีค่าอยู่ในขั้นปานกลางและระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูง ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไปก็ให้เลือกทานแป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำไว้ก่อน

อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ ๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือสปาเก็ตตี้ ส่วนอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือพวกที่มีค่าไกลซีมิ กสูงเช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะ) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอดหรืออบ

กรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดคือคนชาวพื้นเมืองของอเมริกันที่แต่เดิมทานพวกหัว เผือกหัวมัน ถั่ว ข้าวโพด อาหารที่มีเส้นใย ผลไม้ ซึ่งมีค่าไกลซีมิกต่ำ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทานอาหารแบบคนเมือง คือ อาหารจานด่วน น้ำอัดลม ขนมอบต่าง ๆ ปรากฎว่ากลายเป็นคนอ้วนไปตาม ๆ กัน พร้อมทั้งมีปัญหาโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลเสียเลยแต่ให้เลือกพวกที่ มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลักร่างกายต้องการพลังงงานเพื่อนำมาเผาผลาญเพื่อใช้ระหว่างกันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องทานแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารมื้อเช้าและ แม้ว่าต้องการลดความอ้วน ร่างกายควรได้รับแป้งประมาณ 60 – 80 กรัมต่อวัน ในขณะที่คนที่ไม่ต้องการลดน้ำหนักสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวันนอกจากนี้

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานสะสมที่อยู่ในรูปไขมันออกมาใช้ เพราะการออกกำลังกายจะไป กระตุ้นตับอ่อน ให้ ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอนมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไปแถมยังไม่ขาดสารอาหารแค่เลือกทานแป้งให้ถูกชนิด ใน สัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เพราะนอกจากรูปร่างที่ดีแล้วสุขภาพที่ดีย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

อะไรคือความสุข

ความสุข คืออะไร

ความสุข คืออะไร ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และพากันแสวงหา ด้วยวิธีการต่างๆ ตามแต่ระดับของสติและปัญญา ที่จะอำนวยให้ได้ แต่ถ้าระดับของสติและปัญญา อ่อนลงมากเท่าไร การแสวงหาความสุขนั้นๆ ก็ย่อมจะพาเอา ความทุกข์ พ่วงเข้ามาด้วยมากเข้าเท่านั้น 

ความหมายของ ความสุข คือ ความสบาย หรือ ความสำราญ เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และพากันแสวงหาตามแต่สติและปัญญา ด้วยวิธีการต่างๆ แยกออกได้เป็นสองฝ่าย คือ ความสุขทางกาย กับความสุขทางใจ

ความหมาย ของ ความสุขทางกาย ได้แก่ ความสุขที่สัมผัสได้จากประสาททั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส และผิวหนัง เรียกว่า "กามคุณ 5" หรือความสุขที่เกิดจากเนื้อหนังมังสา อันเป็นสิ่งสกปรก 

ความหมาย ของ ความสุขทางใจ ได้แก่ ความสุขที่สัมผัสได้จากจิต คือ ความสบายใจ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความพอใจ อันเกิดจากจิตใจที่สงบและเย็น อันเป็นความสุขที่สะอาดเป็น ความสุขที่แท้จริง

ความสุขทั้งทางกายและทางใจ ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กัน ไม่อาจจะแยกให้ขาดจากกันได้ เพราะต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่

ในความสุขทั้งสองฝ่ายนี้ ความสุขทางใจ นับว่าเป็น "ยอดแห่งความสุข" ถ้าเรากระทำสิ่งใดแล้วจิตใจไม่มีความสุข แม้ว่าเราจะมีวัตถุมากมายครบถ้วน คอยอำนวยความสุขทุกรูปแบบ ก็หาได้ก่อให้เกิดความสุขที่สมบูรณ์หรือแท้จริงไม่ 

แต่ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าทางร่างกายจะขาดแคลนวัตถุ ที่จะอำนวยความสุข แต่ถ้าจิตใจมันมีปีติหล่อเลี้ยง มีความพอใจ มีความสงบใจ คนก็ย่อมจะประสบความสุขได้ 

ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงพร่ำสอนพระ ทรงย้ำให้พระมีชีวิตอยู่อย่าง

"สันโดษ" และ "มักน้อย" ให้มีอาหารหรือปัจจัย 4 หล่อเลี้ยงชีวิต เหมือนน้ำมันหยอดเพลาเกวียนเท่านั้น! 

จากพุทธปฏิปทานี้ ชาวบ้านผู้ครองเรือน ก็สามารถประยุกต์เอามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ได้ นั่นคือ อย่าให้ตึงจนถึงเดือดร้อน และอย่าให้หย่อนจนตัวเป็นขน 

หลัก มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อน จึงเป็นแนวทางที่ควรนำมาดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าใช้เป็นและใช้ให้ถูกต้องกับกาล เทศะ บุคคลและอัตภาพของตน 

สรุปว่า ความสุขก็คือความสบายกาย และสบายใจ ในสองอย่างนี้ ความสุขใจ นับว่าเป็นยอดแห่งความสุขในโลก และทุกคนก็สามารถที่จะบรรลุความสุขใจนี้ได้ หากปฏิบัติตามหลัก "มัชฌิมาปฏิปทา" คือ ทางสายกลาง ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป จึงเป็นแนวทางที่ควรนำมาดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม.
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร 
ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 6743