ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

สุดลึกลับเผยภาพถ่ายโขดหินประหลาดบนเทือกเขาแอลป์



ภาพถ่ายของช่างภาพชาวเยอรมันที่ถ่ายทอดความงดงามสุดแปลกประหลาดของธรรมชาติ ชวนให้คิดว่า “หรือนี่จะเป็นดินแดนลึกลับที่ซ่อนอยู่บนพื้นโลก!”

โลกอันกว้างใหญ่ของเราเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมาย เรียกได้ว่าบางสิ่งที่แม้จะอยู่บนโลก แต่เราอาจไม่มีโอกาสได้เห็นตลอดทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ไม่ใช่กับ คิลเลียน ชอนเบอร์เกอร์ (Kilian Schönberger) ช่างภาพชาวเยอรมันผู้มีโอกาสได้พบเห็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจบน “พื้นโลก” ที่ดูแล้วคล้ายกับอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นเสียมากกว่า

ขณะที่คิลเลียนกำลังปีนเทือกเขาแอลป์ ทางภาคเหนือของอิตาลีอยู่นั้น ก็ได้สังเกตเห็นกลุ่มของเทือกเขาที่ดูแปลกประหลาดคล้ายกับว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ เขาจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงจับภาพสถานที่แห่งนี้ เพื่อให้ภาพที่ออกมามีแสง สี และองค์ประกอบสวยงามน่าดึงดูดที่สุด


ในที่สุดเขาก็ได้ภาพถ่ายของกลุ่มโขดหินแหลมคม ไล่เรียง สลับกันไปมา ฉายอยู่บนฉากหลังที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ดูแล้วลึกลับ น่าค้นหา คล้ายกับมองภาพจากดาวดวงอื่นอย่างไรอย่างนั้น เขาได้ตั้งชื่อภาพชุดนี้ว่า “โลกหน้า”

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วโขดหินรูปทรงแปลกประหลาดดังกล่าวเกิดขึ้นจากกระบวนการทางธรณีวิทยาเท่านั้น สถานที่นี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของภูมิทัศน์บนเทือกเขาแอลป์ 

👉ที่ได้รับการขนานนามว่า “ปิรามิดบนพื้นโลก” เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง และทิ้งเศษซากของดินเหนียวเอาไว้ที่ด้านบน ก่อตัวจนกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ และเมื่อหินที่แหลมคมคล้ายเสาเหล่านี้เสียสมดุลเพราะน้ำฝนที่กัดเซาะมากขึ้นเรื่อยๆ หินด้านบนก็จะกลิ้งลงจากภูเขาในที่สุด

แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใดก็ตาม คงเป็นเรื่องไม่ผิดหากใครจะมองภาพเหล่านี้แล้วจินตนาการว่า “ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่เราไม่เคยเห็น อาจจะมีหน้าตาแบบนี้ก็ได้”

ทุกคนที่ดวงตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษเดียวกัน



ทุกคนที่ “ตาสีฟ้า” มีบรรพบุรุษเดียวกัน!!
ผลการวิจัยใหม่เผย ทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษร่วมกัน โดยบุคคลนี้มีชีวิตอยู่มากกว่า 6,000 ปีมาแล้ว และมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่แพร่กระจายไปทั่วโลก อินดีเพนเดนท์สื่ออังกฤษรายงาน

สาเหตุที่แท้จริงยังคงต้องได้รับการพิจารณา แต่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าสีดวงตาเริ่มเปลี่ยนไปนานก่อนประวัติศาสตร์จะเริ่มถูกบันทึก


ทุกคนที่มีดวงตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษเดียวกันมาประมาณ 6,000-10,000 ปีมาแล้ว

ดวงตาสีฟ้าเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน หลายปีที่ผ่านมานักวิจัยได้ค้นคว้าหาข้อมูลนี้เกี่ยวกับยีน OCA2

ยีน OCA2 คือตัวกำหนดจำนวนเม็ดสี
สีน้ำตาลที่อยู่ในตาของเรา แต่สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาไม่ได้มีอยู่ตรงนั้นเลย

การกลายพันธุ์เกิดขึ้นบนยีน
ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเรียกว่า HERC2, HERC2 ได้ปิด OCA2 

ซึ่งหมายความว่ามันจะปิดสีน้ำตาลและเผยให้เห็นสีฟ้า ทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีการกลายพันธุ์เดียวกันนี้แน่นอน

การกลายพันธุ์ครั้งนี้เริ่มต้นได้อย่างไร? อาจเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์อพยพมาจากแอฟริกาไปยังยุโรป นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมเฉพาะคนเชื้อสายยุโรปจึงมีตาสีฟ้า นอกจากนี้ยังบ่งชี้ว่าทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษร่วมกันจากยุโรปเพียงแห่งเดียว

ถึงตอนนี้ก็ยินดีกับคนที่ตาสีฟ้าทุกคนน่ะ ได้เวลานับญาติแล้วล่ะ!!

Por-Bajin โบราณสถานลึกลับอายุกว่า 1,300 ปี

โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี
แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนา
ที่รอคำตอบ 

           ปอร์-บาจิน (Por-Bajin) โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี บนเทือกเขาสูงของไซบีเรีย ซึ่งถูกยกให้เป็นโบราณสถานที่ลึกลับสุดในรัสเซีย เปี่ยมไปด้วยปริศนา สร้างไว้ทำไม และเหตุใดจึงถูกละทิ้ง 

           ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ในโลกที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับ ยากที่จะค้นหาความจริงที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งปลูกสร้างจากอดีต แม้จะมีวิทยาการสมัยใหม่มาช่วยเหล่านักโบราณคดี ในการค้นคว้าและแสวงหาเรื่องราวความเป็นมาก็ตาม เช่นเดียวกับ ปอร์-บาจิน  (Por-Bajin) เมืองโบราณแห่งไซบีเรีย ซึ่งได้รับการยกให้เป็นโบราณสถานที่ลึกลับที่สุดในรัสเซีย 

           สำหรับความลึกลับของโบราณสถานที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,300 ปี แห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบ Tere-Khol บนเทือกเขาทางตอนใต้ของไซบีเรียใกล้กับพรมแดนมองโกเลีย ห่างจากกรุงมอสโกถึง 3,800 กิโลเมตร แต่ยังมีปริศนาที่นักโบราณคดีหาคำตอบไม่ได้ นั่นก็คือ ใครเป็นผู้สร้างมัน และเหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่จะละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป 

           สำหรับชื่อ Por-Bajin เป็นภาษาตูวันซึ่งหมายถึง "บ้านโคลน" สถานที่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายป้อมปราการขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ครอบคุลมเนื้อที่ 35,000 ตารางเมตร คาดว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. 744-840 (พ.ศ. 1287-1383) มันถูกค้นพบและกลายมาเป็นที่รู้จักของสังคมโลกในปี ค.ศ. 1891 (พ.ศ. 2434) แต่เพิ่งจะมีการเริ่มลงพื้นที่ศึกษาค้นคว้าหาความเป็นมาของที่แห่งนี้อย่างจริงจังเมื่อ ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)

           😂จากการวิจัยเชิงลึก กลุ่มนักโบราณคดีได้ค้นพบแผ่นดินรูปรอยเท้าของมนุษย์ พบภาพวาดปูนปลาสเตอร์สีจาง ๆ บนกำแพง พบประตูทางเข้าขนาดยักษ์ รวมถึงชิ้นส่วนไม้ที่ถูกเผา เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพรวมของสถานที่ได้ชัดเจนขึ้น นักโบราณคดีจึงใช้อุปกรณ์เลเซอร์มาช่วยสร้างแผนที่ และสามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติของสถานที่ดังกล่าวได้สำเร็จ จนพบว่ามันมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบจีน 

           ภายในโบราณสถานแห่งนี้ประกอบไปด้วยกำแพงภายนอกที่สูง 10 เมตร มีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ภายในมีลานกว้าง 2 ส่วนที่ถูกกั้นไว้ด้วยประตูอีกบาน สำหรับกำแพงที่อยู่ภายในมีขนาดความสูงเพียง 1 เมตร ซึ่งนักโบราณคดี อิริน่า อาร์ซานเซวา ได้ตีพิมพ์รายงานใน The European Archaeologist  แสดงความเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างในที่แห่งนี้ มีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมจีนสมัยราชวงศ์ถัง 

           แต่แม้จะได้ข้อมูลเรื่องลักษณะสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนสามารถระบุอายุคร่าว ๆ ของสถานที่แห่งนี้ได้ ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลือกที่จะสร้างมันขึ้นบนเกาะที่อยู่โดดเดี่ยว เพราะจุดดังกล่าวนั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,299 เมตร ต้องเผชิญต่อสภาพอากาศที่สุดขั้วของไซบีเรีย ทั้งยังตั้งอยู่ห่างไกลจากเส้นทางการค้าหลัก ๆ

           อีกสิ่งที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างเพื่อใช้ประโยชน์อะไร โดยยังคงมีการถกเถียงกันในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ที่บ้างก็มองว่ามันเป็นชุมชนอาศัยที่มีศูนย์กลางเป็นอารามทางศาสนา บ้างก็มองว่าอาจเป็นพระราชวังฤดูร้อน อาจจะเป็นหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ บ้างก็มองว่าที่แห่งนี้น่าจะถูกใช้เป็นอารามทางพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถให้ข้อมูลชี้ขาดได้

           ส่วนปริศนาว่าเหตุใดผู้ที่ก่อสร้างมันจึงได้ละทิ้งที่แห่งนี้ไป ได้มีผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าอาจเป็นเพราะที่แห่งนี้ขาดระบบให้ความร้อน 
Por-Bajin
           ด้านประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเคยไปเยือนสถานที่แห่งนี้ในอดีตก็ยังต้องเอ่ยปากเลยว่า แม้ตนจะไปมาหลายที่ พบเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

ประสบความสำเร็จ ตรวจ RNA มัมมี่หมาป่าอายุ 14000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก



นักวิทย์ประสบความสำเร็จ ตรวจ RNA มัมมี่หมาป่าอายุ 14,000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก

เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่า ภายใต้การเก็บรักษาที่เหมาะสม DNA จะสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลายาวนานนับพันปี

อย่างไรก็ตามสำหรับกรดไรโบนิวคลีอิกหรือ RNA อีกหนึ่งในการเข้ารหัสข้อมูลพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตแล้ว ชีวโมเลกุลเหล่านี้จะเสื่อมสภาพเร็วกว่า DNA หลายเท่า ทำให้ที่ผ่านมาการหาข้อมูล RNA ในซากสัตว์เก่าๆ ที่อายุเกิน 1,000 ปีนั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

แต่แล้วทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ประสบความสำเร็จสักที กับการตรวจสอบ RNA ของซากสัตว์โบราณ ที่มีอายุมากถึง 14,300 ปี และได้ชื่อว่าเป็น RNA ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

RNA ที่เก่าแก่ที่สุดนี้ถูกพบในซากลูกสุนัขหมาป่าโบราณตัวหนึ่ง ถูกค้นพบในเพอร์มาฟรอสต์ 
(ชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งคงตัว) ของไซบีเรียตั้งแต่ในปี 2015 ที่ผ่านมา

มีร่องรอยความเป็นลูกผสมของหมาป่าและสุนัขบ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ถึงการแทรกแซงของมนุษย์ในอดีตได้เป็นอย่างดี

อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาได้ทำการค้นพบพบ RNA ที่ยังพอจะนำมาจัดเรียงได้ทั้งตับ กระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของสุนัขหมาป่าตัวนี้

แถม RNA บางส่วนเองยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จนสามารถแยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อทางชีวภาพได้เลย

นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะ RNA นั้น เรียกได้ว่าเป็นสำเนาการทำงานของยีนในร่างกายสิ่งมีชีวิต

และหากการตรวจ DNA ทำให้เราทราบว่าสัตว์ตัวนั้นๆ มียีนแบบไหนบ้าง การตรวจ RNA ก็จะทำให้เราทราบได้ว่ายีนที่ถูกพบเหล่านั้น ตัวไหนมีการทำงาน และตัวไหนไม่มีการทำงานเช่นกัน
ทั้งนี้เองที่ผ่านๆ RNA ที่เก่าแก่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์สามารถจัดเรียงตรวจสอบได้นั้น เป็นของข้าวโพดที่มีอายุเพียง 700 ปี การค้นพบในครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของทีมนักวิทยาศาสตร์เลย

พบฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุร่วม 480 ล้านปี เดินต่อแถวกัน


พบฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุร่วม 480 ล้านปี เดินต่อแถวกันราวกับกำลังเล่น “รีรีข้าวสาร”

มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปัจจุบันเราจะสามารถเป็นสัตว์สักประเภทเดินต่อหลังกันเป็นแถว อย่างไรก็ตามหากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 480 ล้านปีก่อน มันคงไม่ใช่อะไรที่เรียกว่าธรรมดาอีกต่อไป

ที่เมืองมาร์ราคิชประเทศโมร็อกโกทีมนักบรรพชีวินวิทยาได้ทำการค้นพบหลักฐานชุดใหม่ของ ไทรโลไบต์ (Trilobite) สัตว์ดึกดำบรรพ์ ลักษณะคล้ายแมงดาทะเล ซึ่งถูกฝังเป็นฟอสซิลในสภาพที่เดินต่อแถวกันราวกับกำลังเล่นรีรีข้าวสาร

“ฉันคิดว่าผู้คนคงเชื่อว่าพฤติกรรมที่ทำเป็นกลุ่มแบบนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ในขั้นตอนการวิวัฒนาการ แต่จริงๆ แล้วพฤติกรรมที่ซับซ้อนนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิดมาก”

Jean Vannier นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยลียง กล่าวว่าไทรโลไบต์ที่ถูกพบในครั้งนี้อยู่ในสายพันธุ์ 
Ampx priscus ซึ่งเคยอาศัยอยู่ใต้พื้นทะเลในพื้นที่โมร็อกโกในอดีต

ก่อนที่จะถูกฝังจนตายเพราะตะกอนใต้ทะเลถล่ม และมีลักษณะเด่นอยู่ที่หนามเรียวยาวบนตัวและมีลักษณะตาบอดสนิท

เราไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับสัตว์ในตระกูลไทรโลไบต์ แต่จากหลักฐานที่ปรากฎออกมาก็ชี้ให้เห็นว่าพวกมันน่าจะมีพฤติกรรมในการไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม

โดยเป็นไปได้ว่ามันจะอาศัยการคาดการณ์จากสัมผัสของหนามไทรโลไบต์ตัวด้านหน้า เพื่อเดินตามกันเป็นแถวโดยที่ไม่จำเป็นต้องมองในระหว่างการรวมตัว

พฤติกรรมเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการลอกคราบ หรือไม่ก็การผสมพันธุ์ของไทรโลไบต์

ทำให้ฟอสซิลที่พบกลายเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการต่อแถวที่หันหน้าไปทางเดียวกันเช่นนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นเพียงเพราะร่างของพวกมันลอยมาติดกันหลังจากที่พวกมันตายเป็นแน่

เท่านั้นยังไม่พอ การกระทำเช่นนี้ยังไม่ได้ถูกพบแค่ในประเทศโมร็อกโกเสียด้วย เพราะในฝรั่งเศสเอง นักบรรพชีวินก็มีร่องรอยว่าไทรโลไบต์สายพันธุ์นี้มีการต่อแถวในรูปแบบเดียวกัน แม้ว่าหลักฐานที่ฝรั่งเศสจะไม่ชัดเจนเท่าที่โมร็อกโกก็ตาม

“มันดูเหมือนว่า นี่จะเป็นพฤติกรรมปกติของสายพันธุ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนของโลก” คุณ Vannier กล่าว

ทั้งนี้เองแม้ว่าพฤติกรรมการต่อแถวของไทรโลไบต์ จะเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตโบราณเพียงประเภทเดียวที่มีการเคลื่อนที่เป็นกลุ่มแต่อย่างไร
นั่นเพราะเมื่อ 520 ล่านปีก่อนสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายกุ้งอย่าง Synophalos ที่ถูกพบที่จีนเองก็มีร่องรอยการอพยพเป็นแถวในรูปแบบคล้ายๆ กัน

แถมเมื่อ 450 ล้านปีก่อนแมงดาทะเลก็มีการเรียงแถวริมหาดเพื่อผสมพันธุ์ไม่ต่างอะไรกับในปัจจุบันเลยเช่นกัน

ฮือฮาพบฟอสซิลไฮยีน่าอายุ7แสนปีที่อ่าวลึก


นายนิวัฒน์ วัฒนายาพร นักวิชาการท้องถิ่นประจำศูนย์วัฒนธรรม จ.กระบี่ พร้อมทีมอาสาสมัครอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอ่าวลึก เข้าตรวจสอบซากฟอสซิลสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ ภายในถ้ำบริเวณภูเขาถ้ำเพชร หมู่ 6 ต.อ่าวลึก

เหนือ อ.อ่าวลึก หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้าน โดยพบร่องรอยฟอสซิลกระดูกสัตว์ยุคโบราณตามผนังถ้ำ และซากกระดูกสัตว์แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยฝังกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

นายนิวัฒน์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญกรมทรัพยากรธรณี ส่งนักวิชาการมาเก็บตัวอย่างไปตรวจสอบ พบว่าเป็นกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลแรดชวา และ ไฮยีน่า คาดว่าอายุประมาณ 7 แสนปี อยู่ในยุคไพลสโตซีน ตอนกลางถึงตอนปลาย

การค้นพบครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พบแหล่งอาศัยของไฮยีน่าในทวีปเอเซีย เพราะปกติจะมีแหล่งอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา และคาดว่าเป็นไฮยีน่าลายจุด ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดุร้ายและทรงพลัง

เผยโฉมหน้ามนุษย์โบราณ 13,000 ปี ผลงานสำคัญระดับโลกทีมนักโบราณคดีไทย


นักโบราณคดี นำสื่อมวลชนลงสำรวจร่องรอยวัฒนธรรมถ้ำผีแมนโลงลงรักแห่งใหม่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน อายุ 2,000 ปี หลังตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกมนุษย์กว่า 100 ร่างที่พบมีความเป็นไปได้สูงเชื่อมโยงเครือญาติ พร้อมต่อจิ๊กซอว์ผู้หญิงจากถ้ำลอดอายุ 13,640 ปี

วันนี้ รศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ใน อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอนภายใต้การสนับสนุน ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ประสบความสำเร็จในการขึ้นรูปหน้าจำลองของผู้หญิงจากโครงกระดูกโบราณในช่วงเวลาสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง Ice Age หรือสมัยไพลสโตซีน ซึ่งตรงกับปลายยุคน้ำแข็งของยุโรป และโครงกระดูกดังกล่าว ซึ่งเป็น 1 ใน 4 โครงกระดูกผู้หญิงที่เสียชีวิตช่วงอายุประมาณ 25-35 ปี และมีอายุเก่าแก่ถึง 13,640 ปี ที่ขุดพบจากแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า ตั้งแต่ปี 2546 ถือเป็นการพบวัฒนธรรมเก่าแก่ที่สุดก่อนประวัติศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสำเร็จครั้งนี้การขึ้นรูปหน้าจำลองครั้งนี้ที่ทำร่วมกับ ดร.ซูซาน เฮยส์ จากมหาวิทยาลัยวอลลองกอง ประเทศออสเตรเลียที่ต้องที่ต้องเปรียบเทียบจากแฟ้มภาพ และเทียบคลังกะโหลกศีรษะของผู้หญิงในยุคเดียวกัน จำนวน 720 ตัวอย่างจาก 25 ประเทศทั่วโลก

นักโบราณคดี กล่าวว่าถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นระดับโลก เพราะการขึ้นรูปหน้า หรือการจำลองใบหน้าจากชิ้นกระดูกกะโหลกศีรษะ และใบหน้าบางส่วนนี้ นับเป็นครั้งแรกของไทยและของโลกที่จะได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงในยุคปลายสุดของยุคน้ำแข็ง โดยการขึ้นรูปหน้าจำลองครั้งนี้ที่ทำร่วมกับ ดร.ซูซาน เฮยส์ จากมหาวิทยาลัยวอลลองกอง ประเทศออสเตรเลียที่ต้องที่ต้องเปรียบเทียบจากแฟ้มภาพ และเทียบคลังกะโหลกศีรษะของผู้หญิงในยุคเดียวกัน จำนวน 720 ตัวอย่างจาก 25 ประเทศทั่วโลก

ก่อนหน้านี้คณะนักวิจัยได้ประสานให้นายวัชระ ประยูรคำประติมากร ได้มีความพยายามในการทดลองปั้นใบหน้าเป็นสามมิติโดยใช้ข้อมูลจาก นางนัทธมน ภู่รีพัฒน์พงศ์ คงคาสุริยฉาย ซึ่งเป็นผู้ขุดค้นโครงกระดูกนี้ มาทำการวิเคราะห์และจำลองแบบขึ้นมาด้วยการอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และหล่อเรซินเบื้องต้น และหากให้วิเคราะห์ว่าหน้าตาของผู้หญิงโบราณคนนี้เป็นโฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ รูปใบหน้ามีโหนกแก้มสูงดวง ตา รูปร่างคล้ายผลอัลมอนด์ ผิวสีน้ำตาล ผมน่าจะสีดำออกน้ำตาล และหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พบวัฒนธรรมโลงไม้ลงรักอายุ 2,000 ปี
รศ.ดร.รัศมี กล่าวอีกว่า ล่าสุดยังสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีถ้ำผีแมนโลงลงรักแห่งใหม่ ซึ่งศึกษาพบมีโลงไม้ และโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมาก อายุกว่า 2,000 ปี เป็นหลักฐานทางโบราณคดี และร่องรอยของคนโบราณบนพื้นที่สูงที่ไม่เคยพบมาก่อน เช่น โลงไม้ขนาดและรูปทรงต่างๆ กระดูกคนในโลงไม้ การฝังศพบนพื้นถ้ำ โลงไม้ที่มีการลงลวดลายผิวด้านนอกด้วยยางรัก ซึ่งวัฒนธรรมโลงไม้เป็นวัฒนธรรมใหม่ของคนไป่เย่วจากจีนตอนใต้ตั้งแต่มณฑลยูนนานถึงชายฝั่งทะเล และกลุ่มคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่ามีเชื้อสายเดียวกับคนไท ดูจากการตกแต่งฟันที่ส่งไปตรวจสอบ

นางนัทธมน บอกว่า การค้นพบโลงไม้ในถ้ำแห่งนี้ ทีมวิจัยแบ่งจุดสำรวจออกเป็น 3 ห้องโดยเฉพาะห้องเอ 1 ที่มีขนาดเพียงโดย 8x9 เมตร พบโลงไม้ที่มีความสมบูรณ์ถึง 20 โลง และช่วง 1,900--1,600 ปีโดยเฉพาะพบว่ามีช่วงอายุ และช่วงเด็กหลากหลายช่วงวัย และวัยกลางคน ตอนนี้การค้นพบและนำชิ้นส่วนกระดูกออกมา เพื่อวิเคราะห์ต่อจิ๊กซอว์สิ่งที่กำลังทำคือการตรวจสอบดีเอ็นเอเพื่อหาความสัมพันธ์ทางเครือญาติและเชื้อสาย แต่มีแนวโน้มข่าวว่าโครงกระดูกที่พบในถ้ำผีแมนโลงลงรัก น่าจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ

พบซากฟอสซิลเก่าแก่ที่สุดในโลกในแอฟริกาใต้


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าคณะนักวิจัยนานาชาติเผยการค้นพบ ซากฟอสซิลของสัตว์หลายชนิดที่วนอุทยานแห่งชาติอีโตชา ทางตอนเหนือของประเทศนามิเบีย ในแอฟริกา จากการตรวจสอบพบว่า เป็นซากสัตว์เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบในโลก มีอายุระหว่าง 760-550 ล้านปี ซึ่งซากฟอสซิลที่เคยพบมานั้นมีอายุระหว่าง 650-600 ล้านปีเท่านั้น

ทั้งนี้ นักวิจัยพบซากฟอสซิลสัตว์ขนาดเล็ก มีลักษณะเหมือนฟองน้ำ รูปทรงคล้ายแจกัน ซึ่งพกวเขาเรียกมันว่า โอตาเวีย แอนติคิว ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ยังหมายถึงว่าซากฟอสซิลเหล่านี้คือบรรพบุรุษของมนุษย์เรานั่นเอง

ด้านนายโทนี่ ฟราฟ นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ ในสกอตแลนด์ หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า ฟอสซิลที่พบชุดนี้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า สัตว์อาจถือกำเนิดบนโลกมาตั้งแต่ 760 ล้านปีก่อน ตรงกับสมมุติฐานของนักพันธุกรรมวิทยาที่ใช้ นาฬิกาโมเลกุล หาอายุของพืชและสัตว์ ด้วยการจำแนกอัตราความแตกต่างทางพันธุกรรม

เม็กซิโกรัฐบาลได้เผยแพร่สิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึง ET

สิ่งประดิษฐ์ที่ตีพิมพ์หินแสดง
ให้เห็นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้อยู่ในอวกาศที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว เห็นได้จากลวดลายบนก้อนหินซึ่งการเดินทางข้ามอวกาศเป็นไปได้ในอดีต เราสามารถเห็นจรวดหรือสิ่งที่คล้ายกับดิสก์ที่บินซึ่งมีลูกเรือคนเดียว


หินจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารใจเตรียมอำนวยเม็กซิกัน Juan Carlos Rulfoa ที่เตรียมสารคดีของโลกเกี่ยวกับอารยธรรมมายา 

ผู้ผลิตภาพยนตร์ราอูลจูเลียเลวี่กล่าวถึงการเตรียมการและถ่ายทำในความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเม็กซิโกและปรารถนาด่วนของประธานาธิบดีตัวเอง รัฐบาลเม็กซิโกหวังว่าโอกาสนี้ในการสร้างแรงบันดาลใจเช่นเดียวกับรัฐบาลของรัฐไปยังได้ร่วมกันข้อมูลของพวกเขาใน ET

เดอะการ์เดียนยกประธานาธิบดี Alvaroz Colom Caballeros กล่าวว่า "เม็กซิโกจะปล่อยรหัสวัตถุโบราณและเอกสารสำคัญที่มีหลักฐานเกี่ยวกับการติดต่อกับต่างดาวและข้อมูลทั้งหมดจะได้รับการยืนยันจากนักโบราณคดี"

ซากอุกกาบาตบนเกาะศรีลังกา

(ซากดึกดำบรรพ์ของอุกกาบาตศรีลังกา)



หลังจากการวิเคราะห์ซากอุกกาบาตที่ตกในศรีลังกานักวิจัยพบว่าวัตถุที่พวกเขาพบนั้นเป็นมากกว่าชิ้นส่วนของหินจักรวาล มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาวในความหมายที่แท้จริงที่สุด: สิ่งประดิษฐ์ที่ประกอบด้วยมนุษย์ต่างดาวที่แท้จริงที่สุด 

การศึกษาสองชิ้นแยกกันแสดงให้เห็นว่าอุกกาบาตนั้นมีฟอสซิลและสาหร่ายซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดจากนอกโลกอย่างชัดเจน


ศาสตราจารย์จันทราวิคครามสิงห์หัวหน้าการศึกษาครั้งแรกกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงอาการแพนซี่เมีย (สมมติฐานที่ว่าชีวิตมีอยู่ในจักรวาลและแพร่กระจายผ่านอุกกาบาตและหินแข็งอื่น ๆ ) 

อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างที่คาดไว้ Vikramasingha เป็นคนที่กระตือรือร้นในทฤษฎีของ panspermia 
โดยมีแนวโน้มที่จะอ้างว่าเกือบทุกสิ่งที่เขาพบนั้นมีต้นกำเนิดที่แปลกประหลาด 


ยิ่งไปกว่านั้นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนอุกกาบาตนั้นมีสัตว์น้ำจืดชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในโลกและสิ่งนี้บ่งชี้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นปนเปื้อนด้วยสิ่งมีชีวิตในช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ไปกับโลกของเรา