ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Changbaishan เขตกั้นแดนจีน-เกาหลีเหนือ

Changbaishan เขตกั้นแดนจีน-เกาหลีเหนือ

Changbai Mountains ภูเขาฉางไป๋ หรือ ภูเขาแบ็กดู ในภาษาจีนและเกาหลีมีความหมายว่า “ภูเขาหัวขาว” อันหมายถึง ยอดเขาแห่งนี้ที่มีหิมะหรือทะเลหมอกปกคลุมอยู่ทั้งปี บางครั้งจะเรียกว่า ยอดขาวยาว โดยมันตั้งอยู่ระหว่าง อำเภอฝู่ซง เมืองไป่ซาน มณฑลจี๋หลิน ในประเทศจีน และอำเภออันถู เขตปกครองตนเองชนเผ่าเกาหลีเอี๋ยนเปียน ประเทศเกาหลีเหนือ

ภูเขาแห่งนี้มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,691 เมตร และเป็นภูเขาไฟที่หลับใหลอยู่ โดยมีการบันทึกว่า เกิดระเบิดมาแล้วหลายครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว 600,000 ปีก่อน ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นราว 400,000-300,000 ปีก่อน ครั้งที่ 3 เมื่อราว 200,000-100,000 ปีก่อน ระเบิดครั้งที่ 4 เมื่อประมาณ 80,000 ปีก่อน ทำให้เกิดเป็นเขาฉางไป๋และทะเลสาบเทียนฉือบนยอดเขา และครั้งล่าสุดคือเมื่อ 300 กว่าปีก่อน ในปี ค.ศ.1,702

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำเถ้าภูเขาไฟปกคลุมพื้นที่กว่า 161 กิโลเมตร ซึ่งทำให้ดินมีแร่ธาตุต่างๆ เหมาะสมต่อการเติบโตของพืช รวมถึงการมีอากาศบริสุทธิ์ ทำให้พืชได้ซึมซับธาตุที่ดีต่อร่างกายมนุษย์ พื้นที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งสมุนไพรที่มีชื่อเสียง
ด้านบนของภูเขาเป็นที่ตั้งของทะเลสาบเทียนฉือ หรือทะเลสาบสวรรค์ ลึกกว่า 373 เมตร กว้างกว่า 9.82 ตารางกิโลเมตร เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างจีนและเกาหลีเหนือโดยพื้นที่ 1 ใน 3 ของภูเขา อยู่ทางฝั่งจีน มีเส้นทางน้ำไหลไปตามหุบเขาจนเกิดเป็นน้ำตกฉางไป๋ ดังนั้นด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้จึงส่งผลให้มีพืชพันธุ์กว่า 2,540 ชนิดและสัตว์อีกกว่า 1,500 ชนิดอาศัยอยู่
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวนิยม ด้วยคำว่า “ฉางไป๋” มีความหมายว่า “สีขาว หรือ ชั่วนิรันดร์” จึงทำให้โยงไปยังคำว่า “ไป๋โถวเสียเหล่า” อันแปลได้ว่า “รักกันจนแก่เฒ่า” ซึ่งเป็นความหมายมงคล เหมาะสมแก่การมาฮันนีมูน หรือขึ้นมาชมธรรมชาติอันงดงามทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว ยกเว้นเพียงเขตสงวนที่เข้าได้ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมเท่านั้น
Changbaishan

ภูเขาเกลือ ในประเทศเยอรมนี

ภูเขาเกลือ ในประเทศเยอรมนี
ภูเขาสีขาวขนาดใหญ่นี้เกิดเป็นที่เก็บเกลือจำนวนมหาศาล มันตั้งอยู่ในรัฐเฮสเซิน ประเทศเยอรมนี โดยมีความสูงประมาณ 200 เมตร

เมื่อวันที่มกราคม 2014 ที่ผ่านมามีเกลืออยู่ราว 188 ล้านตัน ในแต่ละปีเกลือถูกนำมาเก็บไว้ยังภูเขาแห่งนี้มากถึง 6.4 ล้านตัน
นอกจากจะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองอีกด้วย แต่ชาวเผยว่ามันเป็นพื้นที่ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมในเมือง ส่งผลต่อพันธุ์ไม้ รวมไปถึงงานด้านเกษตร

Patomskiy crater ปล่องภูเขาลึกลับในไซบีเรีย

ปล่องภูเขาลึกลับในไซบีเรีย
ปล่องภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่า Patomskiy crater และมักถูกเรียกว่า Eagle’s Nest ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1949 โดยนักธรณีวิทยาชื่อ Vadim Kolpakov ลักษณะเป็นเนินปูนขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 160 เมตร และมีความสูงประมาณ 80 เมตร
นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัยมานานว่าภูเขาแห่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่คาดว่าเกิดขึ้นมาแล้วราว 250 ปี เริ่มแรกนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์แต่จากการตรวจสอบไม่มีมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้เลย หากมันจะเกิดขึ้นมาจากการระเบิดของภูเขาไฟก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากอายุของมันยังน้อยและบริเวณนี้ก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ของภูเขาไฟอีกด้วย

มีนักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่ามันเกิดมาจากอุกกาบาตที่ตกลงมา และภายใต้ภูเขาแห่งนี้ต้องมีธาตุอะไรบางอย่าง จากการศึกษาพบว่าต้นไม้รอบๆภูเขาแห่งนี้เติบโตเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีบางคนคิดว่ามันสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าปล่องภูเขาลึกลับนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร



Patomskiy crater 

Craco ภัยพิบัติล่มเมือง

Craco ภัยพิบัติล่มเมือง
เมืองร้างคราโก คือเมืองโบราณในยุคเมดิอิวัล ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูง 400 เมตร ใน Matera ภาคใต้ของอิตาลี หน้าผาสามารถมองเห็นหุบเขา Cavone River ตลอดจนที่ราบน้อยใหญ่ทำให้เมืองแห่งนี้มีจุดชมวิวที่งดงาม

ย้อนไปราว 540 ก่อนคริสตกาลสถานที่แห่งนี้น่าจะเคยเป็นที่อยู่ของชาวกรีกก่อนจะมีการอพยพย้าย เนื่องจากมีแผ่นดินไหวใกล้เมืองชายฝั่งของ Metaponto มีการการค้นพบสุสานเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 8 และมีหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในแถบนี้ในช่วงยุคสัมฤทธิ์

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนถ่ายผู้ปกครองจากการยึดตีเมือง และมีการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นเมืองแห่งนี้ก็ได้ประสบเหตุภัยพิบัติอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งซึ่งทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย พายุ แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหวซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและการถูกปล้น ทำให้ชาวเมืองค่อยๆย้ายออกไป
จนกระทั่ง ในปีพ.ศ.2523 เกิดแผ่นดินไหวอีกครั้ง ครั้งนี้เกิดความเสียหายรุนแรงซึ่งยากต่อการบูรณะ ชาวเมืองที่เหลืออยู่จึงตัดสินใจอพยพย้ายไปยังเมืองอื่น เมืองโบราณแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างไปอย่างสมบูรณ์
Craco
ในปัจจุบันเมืองนี้เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าแก่ที่อยู่ในลิสต์ขององค์กรรักษาแหล่งประวัติศาสตร์โลก (World Monument Fund) และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวอันซีน ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดดังๆหลายเรื่อง

จากดินสู่ดาวจูหยวนจางปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง

จากดินสู่ดาว! ‘จูหยวนจาง’ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง ผู้มีชาติกำเนิดมาจากสามัญชนที่แสนยากจน
ในความเข้าใจของผู้คนส่วนใหญ่คงเข้าใจว่า ผู้ที่จะกลายเป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดินจีนได้ จะต้องเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเชื้อพระวงศ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในประวัติศาสตร์จีนได้เคยกล่าวถึงจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระองค์ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือกระทั่งชนชั้นสูงมาก่อน แต่พระองค์เป็นเพียงคนยากจน ที่ไต่เต้าจากระดับที่ต่ำสุดมาสู่ระดับที่สูงสุด จนได้เป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดิน จีน และพระนามของพระองค์ก็คือ ‘จักรพรรดิหงอู่’ แต่เดิมพระองค์มีชื่อว่า ‘จูหยวนจาง’

จูหยวนจางเกิดในครอบครัวของสามัญชนธรรมดา มีฐานะยากจนมากใช้ชีวิตแบบอัตคัดขัดสน หาผักหญ้ารับประทานเพื่อให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน ไม่นานนักพ่อแม่และพี่ชายคนโตก็ได้เสียชีวิตจากปัญหาความอดยาก ส่งผลให้พี่น้องที่เหลือต้องแยกกันออกไปทำมาหากิน จูหยวนจางตัดสินใจบวชเณร

เนื่องจากในขณะนั้นยังเป็นเด็กอยู่ หลังบวชเรียนจนมีความสามารถทางด้านการอ่านเขียน ก็ได้ตัดสินใจสึกเนื่องจากในขณะนั้นบ้านเมืองได้เกิดปัญหาภายใน เมื่อเริ่มมีกลุ่มกบฎขับไล่จักรวรรดิมองโกลออกจากแผ่นดินจีน จนได้เข้าร่วม ‘ลัทธิบัวขาว’ เพื่อก่อ ‘กบฏโพกผ้าแดง’ โค่นล้มราชวงศ์หยวน

ด้วยคุณงามความดีและความสามารถทางด้านการรบ ทำให้จูหยวนจางได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็มีเหตุที่ทำให้ต้องออกจากลัทธิบัวขาว หลังจากนั้นจึงกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง ด้วยความสามารถและเป็นที่รู้จักไปทั่ว พระองค์จึงมีแผนจัดตั้งกองกำลังของตนเองขึ้น จากการชักชวนเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องในบ้านเกิดของตนเอง ช่วงแรกของการจัดตั้งกองกำลังสามารถรวบรวมกำลังพลได้มากถึง 700 คน ก่อนที่กำลังพลจะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คน ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี

ในเวลาต่อมาพระองค์ถูกเรียกตัวกลับไปยังลัทธิบัวขาวอีกครั้ง เนื่องจากลัทธิบัวขาวไร้ผู้นำกองกำลัง จูหยวนจาง เร่งนำกองกำลังที่มีทั้งหมดบุกถล่ม เมืองต้าตู เมืองหลวงของราชวงศ์หยวนในทันที ด้วยความยิ่งใหญ่ของกองทัพจูหยวนจาง จักรพรรดิราชวงศ์หยวนจึงหลีกเลี่ยงการทำสงคราม พร้อมกับนำราชวงศ์และชาวมองโกลหลบหนีออกจากเมือง เมื่อจูหยวนจางสามารถยึดเมืองได้พระองค์จึงได้ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิในนาม ‘หมิงไท่จู่’ พร้อมประกาศตั้งราชวงศ์ต้าหมิง ในปี ค.ศ. 1367
ด้วยความที่พระองค์เคยเป็นคนยากจนมาก่อน ทำให้พระองค์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแท้จริง พระองค์เข้าแทรกแซงอำนาจของเหล่าขุนนาง เพื่อไม่ให้ขุนนางคิดกระทำสิ่งใดได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป ทุกอย่างต้องผ่านการเห็นชอบจากพระองค์ก่อน เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าสิ่งนี้กลายเป็นช่องวางให้เหล่าขุนนางพากันขูดรีดประชาชน เรียกได้ว่าอำนาจใดๆก็ตาม ที่ทุกฝ่ายเคยมีอำนาจเหล่านั้นไม่มีอีกแล้วในแผ่นดินของพระองค์ เนื่องจากพระองค์กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างแท้จริง

ทำให้ตลอดรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองค่อนข้างสงบร่มเย็น เนื่องจากพระองค์ทำการปราบผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าจะก่อกบฏในอนาคตจนหมดสิ้น ประมาณการว่าการปราบกบฏในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อยห้าหมื่นคนเลยทีเดียว จักรพรรหมิงไท่จู่ เสด็จสวรรคตในปี 1398 ครองแผ่นดินนานเป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1368 – 1398 ขณะมีพระชนมายุ 70 พรรษา จักรพรรดิหมิงไท่จู่ ถือเป็นจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์จีน ที่เริ่มต้นจากการเป็นคนจน ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ จนกระทั่งเป็นจักรพรรดิได้สำเร็จ