ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

ทุกคนที่ดวงตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษเดียวกัน



ทุกคนที่ “ตาสีฟ้า” มีบรรพบุรุษเดียวกัน!!
ผลการวิจัยใหม่เผย ทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษร่วมกัน โดยบุคคลนี้มีชีวิตอยู่มากกว่า 6,000 ปีมาแล้ว และมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่แพร่กระจายไปทั่วโลก อินดีเพนเดนท์สื่ออังกฤษรายงาน

สาเหตุที่แท้จริงยังคงต้องได้รับการพิจารณา แต่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าสีดวงตาเริ่มเปลี่ยนไปนานก่อนประวัติศาสตร์จะเริ่มถูกบันทึก


ทุกคนที่มีดวงตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษเดียวกันมาประมาณ 6,000-10,000 ปีมาแล้ว

ดวงตาสีฟ้าเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน หลายปีที่ผ่านมานักวิจัยได้ค้นคว้าหาข้อมูลนี้เกี่ยวกับยีน OCA2

ยีน OCA2 คือตัวกำหนดจำนวนเม็ดสี
สีน้ำตาลที่อยู่ในตาของเรา แต่สิ่งที่พวกเขากำลังมองหาไม่ได้มีอยู่ตรงนั้นเลย

การกลายพันธุ์เกิดขึ้นบนยีน
ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเรียกว่า HERC2, HERC2 ได้ปิด OCA2 

ซึ่งหมายความว่ามันจะปิดสีน้ำตาลและเผยให้เห็นสีฟ้า ทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีการกลายพันธุ์เดียวกันนี้แน่นอน

การกลายพันธุ์ครั้งนี้เริ่มต้นได้อย่างไร? อาจเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์อพยพมาจากแอฟริกาไปยังยุโรป นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมเฉพาะคนเชื้อสายยุโรปจึงมีตาสีฟ้า นอกจากนี้ยังบ่งชี้ว่าทุกคนที่มีตาสีฟ้ามีบรรพบุรุษร่วมกันจากยุโรปเพียงแห่งเดียว

ถึงตอนนี้ก็ยินดีกับคนที่ตาสีฟ้าทุกคนน่ะ ได้เวลานับญาติแล้วล่ะ!!

Por-Bajin โบราณสถานลึกลับอายุกว่า 1,300 ปี

โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี
แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนา
ที่รอคำตอบ 

           ปอร์-บาจิน (Por-Bajin) โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี บนเทือกเขาสูงของไซบีเรีย ซึ่งถูกยกให้เป็นโบราณสถานที่ลึกลับสุดในรัสเซีย เปี่ยมไปด้วยปริศนา สร้างไว้ทำไม และเหตุใดจึงถูกละทิ้ง 

           ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ในโลกที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับ ยากที่จะค้นหาความจริงที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งปลูกสร้างจากอดีต แม้จะมีวิทยาการสมัยใหม่มาช่วยเหล่านักโบราณคดี ในการค้นคว้าและแสวงหาเรื่องราวความเป็นมาก็ตาม เช่นเดียวกับ ปอร์-บาจิน  (Por-Bajin) เมืองโบราณแห่งไซบีเรีย ซึ่งได้รับการยกให้เป็นโบราณสถานที่ลึกลับที่สุดในรัสเซีย 

           สำหรับความลึกลับของโบราณสถานที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,300 ปี แห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบ Tere-Khol บนเทือกเขาทางตอนใต้ของไซบีเรียใกล้กับพรมแดนมองโกเลีย ห่างจากกรุงมอสโกถึง 3,800 กิโลเมตร แต่ยังมีปริศนาที่นักโบราณคดีหาคำตอบไม่ได้ นั่นก็คือ ใครเป็นผู้สร้างมัน และเหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่จะละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไป 

           สำหรับชื่อ Por-Bajin เป็นภาษาตูวันซึ่งหมายถึง "บ้านโคลน" สถานที่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายป้อมปราการขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ครอบคุลมเนื้อที่ 35,000 ตารางเมตร คาดว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. 744-840 (พ.ศ. 1287-1383) มันถูกค้นพบและกลายมาเป็นที่รู้จักของสังคมโลกในปี ค.ศ. 1891 (พ.ศ. 2434) แต่เพิ่งจะมีการเริ่มลงพื้นที่ศึกษาค้นคว้าหาความเป็นมาของที่แห่งนี้อย่างจริงจังเมื่อ ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)

           😂จากการวิจัยเชิงลึก กลุ่มนักโบราณคดีได้ค้นพบแผ่นดินรูปรอยเท้าของมนุษย์ พบภาพวาดปูนปลาสเตอร์สีจาง ๆ บนกำแพง พบประตูทางเข้าขนาดยักษ์ รวมถึงชิ้นส่วนไม้ที่ถูกเผา เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพรวมของสถานที่ได้ชัดเจนขึ้น นักโบราณคดีจึงใช้อุปกรณ์เลเซอร์มาช่วยสร้างแผนที่ และสามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติของสถานที่ดังกล่าวได้สำเร็จ จนพบว่ามันมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมแบบจีน 

           ภายในโบราณสถานแห่งนี้ประกอบไปด้วยกำแพงภายนอกที่สูง 10 เมตร มีประตูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ภายในมีลานกว้าง 2 ส่วนที่ถูกกั้นไว้ด้วยประตูอีกบาน สำหรับกำแพงที่อยู่ภายในมีขนาดความสูงเพียง 1 เมตร ซึ่งนักโบราณคดี อิริน่า อาร์ซานเซวา ได้ตีพิมพ์รายงานใน The European Archaeologist  แสดงความเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างในที่แห่งนี้ มีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมจีนสมัยราชวงศ์ถัง 

           แต่แม้จะได้ข้อมูลเรื่องลักษณะสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนสามารถระบุอายุคร่าว ๆ ของสถานที่แห่งนี้ได้ ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลือกที่จะสร้างมันขึ้นบนเกาะที่อยู่โดดเดี่ยว เพราะจุดดังกล่าวนั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,299 เมตร ต้องเผชิญต่อสภาพอากาศที่สุดขั้วของไซบีเรีย ทั้งยังตั้งอยู่ห่างไกลจากเส้นทางการค้าหลัก ๆ

           อีกสิ่งที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างเพื่อใช้ประโยชน์อะไร โดยยังคงมีการถกเถียงกันในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ที่บ้างก็มองว่ามันเป็นชุมชนอาศัยที่มีศูนย์กลางเป็นอารามทางศาสนา บ้างก็มองว่าอาจเป็นพระราชวังฤดูร้อน อาจจะเป็นหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ บ้างก็มองว่าที่แห่งนี้น่าจะถูกใช้เป็นอารามทางพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถให้ข้อมูลชี้ขาดได้

           ส่วนปริศนาว่าเหตุใดผู้ที่ก่อสร้างมันจึงได้ละทิ้งที่แห่งนี้ไป ได้มีผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าอาจเป็นเพราะที่แห่งนี้ขาดระบบให้ความร้อน 
Por-Bajin
           ด้านประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งเคยไปเยือนสถานที่แห่งนี้ในอดีตก็ยังต้องเอ่ยปากเลยว่า แม้ตนจะไปมาหลายที่ พบเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

ประสบความสำเร็จ ตรวจ RNA มัมมี่หมาป่าอายุ 14000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก



นักวิทย์ประสบความสำเร็จ ตรวจ RNA มัมมี่หมาป่าอายุ 14,000 ปี เก่าแก่ที่สุดในโลก

เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่า ภายใต้การเก็บรักษาที่เหมาะสม DNA จะสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลายาวนานนับพันปี

อย่างไรก็ตามสำหรับกรดไรโบนิวคลีอิกหรือ RNA อีกหนึ่งในการเข้ารหัสข้อมูลพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตแล้ว ชีวโมเลกุลเหล่านี้จะเสื่อมสภาพเร็วกว่า DNA หลายเท่า ทำให้ที่ผ่านมาการหาข้อมูล RNA ในซากสัตว์เก่าๆ ที่อายุเกิน 1,000 ปีนั้น แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

แต่แล้วทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ประสบความสำเร็จสักที กับการตรวจสอบ RNA ของซากสัตว์โบราณ ที่มีอายุมากถึง 14,300 ปี และได้ชื่อว่าเป็น RNA ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

RNA ที่เก่าแก่ที่สุดนี้ถูกพบในซากลูกสุนัขหมาป่าโบราณตัวหนึ่ง ถูกค้นพบในเพอร์มาฟรอสต์ 
(ชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งคงตัว) ของไซบีเรียตั้งแต่ในปี 2015 ที่ผ่านมา

มีร่องรอยความเป็นลูกผสมของหมาป่าและสุนัขบ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ถึงการแทรกแซงของมนุษย์ในอดีตได้เป็นอย่างดี

อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาได้ทำการค้นพบพบ RNA ที่ยังพอจะนำมาจัดเรียงได้ทั้งตับ กระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของสุนัขหมาป่าตัวนี้

แถม RNA บางส่วนเองยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จนสามารถแยกความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อทางชีวภาพได้เลย

นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะ RNA นั้น เรียกได้ว่าเป็นสำเนาการทำงานของยีนในร่างกายสิ่งมีชีวิต

และหากการตรวจ DNA ทำให้เราทราบว่าสัตว์ตัวนั้นๆ มียีนแบบไหนบ้าง การตรวจ RNA ก็จะทำให้เราทราบได้ว่ายีนที่ถูกพบเหล่านั้น ตัวไหนมีการทำงาน และตัวไหนไม่มีการทำงานเช่นกัน
ทั้งนี้เองที่ผ่านๆ RNA ที่เก่าแก่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์สามารถจัดเรียงตรวจสอบได้นั้น เป็นของข้าวโพดที่มีอายุเพียง 700 ปี การค้นพบในครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของทีมนักวิทยาศาสตร์เลย

พบฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุร่วม 480 ล้านปี เดินต่อแถวกัน


พบฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์อายุร่วม 480 ล้านปี เดินต่อแถวกันราวกับกำลังเล่น “รีรีข้าวสาร”

มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปัจจุบันเราจะสามารถเป็นสัตว์สักประเภทเดินต่อหลังกันเป็นแถว อย่างไรก็ตามหากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 480 ล้านปีก่อน มันคงไม่ใช่อะไรที่เรียกว่าธรรมดาอีกต่อไป

ที่เมืองมาร์ราคิชประเทศโมร็อกโกทีมนักบรรพชีวินวิทยาได้ทำการค้นพบหลักฐานชุดใหม่ของ ไทรโลไบต์ (Trilobite) สัตว์ดึกดำบรรพ์ ลักษณะคล้ายแมงดาทะเล ซึ่งถูกฝังเป็นฟอสซิลในสภาพที่เดินต่อแถวกันราวกับกำลังเล่นรีรีข้าวสาร

“ฉันคิดว่าผู้คนคงเชื่อว่าพฤติกรรมที่ทำเป็นกลุ่มแบบนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่ในขั้นตอนการวิวัฒนาการ แต่จริงๆ แล้วพฤติกรรมที่ซับซ้อนนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิดมาก”

Jean Vannier นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยลียง กล่าวว่าไทรโลไบต์ที่ถูกพบในครั้งนี้อยู่ในสายพันธุ์ 
Ampx priscus ซึ่งเคยอาศัยอยู่ใต้พื้นทะเลในพื้นที่โมร็อกโกในอดีต

ก่อนที่จะถูกฝังจนตายเพราะตะกอนใต้ทะเลถล่ม และมีลักษณะเด่นอยู่ที่หนามเรียวยาวบนตัวและมีลักษณะตาบอดสนิท

เราไม่มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับสัตว์ในตระกูลไทรโลไบต์ แต่จากหลักฐานที่ปรากฎออกมาก็ชี้ให้เห็นว่าพวกมันน่าจะมีพฤติกรรมในการไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม

โดยเป็นไปได้ว่ามันจะอาศัยการคาดการณ์จากสัมผัสของหนามไทรโลไบต์ตัวด้านหน้า เพื่อเดินตามกันเป็นแถวโดยที่ไม่จำเป็นต้องมองในระหว่างการรวมตัว

พฤติกรรมเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการลอกคราบ หรือไม่ก็การผสมพันธุ์ของไทรโลไบต์

ทำให้ฟอสซิลที่พบกลายเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการต่อแถวที่หันหน้าไปทางเดียวกันเช่นนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นเพียงเพราะร่างของพวกมันลอยมาติดกันหลังจากที่พวกมันตายเป็นแน่

เท่านั้นยังไม่พอ การกระทำเช่นนี้ยังไม่ได้ถูกพบแค่ในประเทศโมร็อกโกเสียด้วย เพราะในฝรั่งเศสเอง นักบรรพชีวินก็มีร่องรอยว่าไทรโลไบต์สายพันธุ์นี้มีการต่อแถวในรูปแบบเดียวกัน แม้ว่าหลักฐานที่ฝรั่งเศสจะไม่ชัดเจนเท่าที่โมร็อกโกก็ตาม

“มันดูเหมือนว่า นี่จะเป็นพฤติกรรมปกติของสายพันธุ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนของโลก” คุณ Vannier กล่าว

ทั้งนี้เองแม้ว่าพฤติกรรมการต่อแถวของไทรโลไบต์ จะเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตโบราณเพียงประเภทเดียวที่มีการเคลื่อนที่เป็นกลุ่มแต่อย่างไร
นั่นเพราะเมื่อ 520 ล่านปีก่อนสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายกุ้งอย่าง Synophalos ที่ถูกพบที่จีนเองก็มีร่องรอยการอพยพเป็นแถวในรูปแบบคล้ายๆ กัน

แถมเมื่อ 450 ล้านปีก่อนแมงดาทะเลก็มีการเรียงแถวริมหาดเพื่อผสมพันธุ์ไม่ต่างอะไรกับในปัจจุบันเลยเช่นกัน