🌚เปิดแผน ‘Operation Gold’ ปฏิบัติการลับของสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่ลอบขุดอุโมงค์เพื่อดักฟังโทรศัพท์ของโซเวียต
ค้นหา
Custom Search
อีกหนึ่งปฏิบัติการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดครั้งหนึ่งของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ และอังกฤษในช่วงสงครามเย็น เมื่อทั้งสองชาติร่วมมือกันเปิดแผนการในการลักลอบดังฟังโทรศัพท์ของฝ่ายโซเวียตอย่างลับๆ ระหว่างความขัดแย้งในช่วงสงครามเย็น
Operation Gold หรือ รู้จักกันในชื่ออุโมงค์เบอร์ลิน เป็นการร่วมมือกันของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ ซีไอเอ และ เอสเอเอส หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาประสบความสำเร็จใน “Operation Silver” ที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย เป็นแผนการลักลอบดังฟังสายโทรศัพทของโซเวียตที่อยู่ในเวียนนาซึ่งส่งตรงไปยังกรุงมอสโกในสหภาพโซเวียต ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้สายลับอังกฤษทราบข้อมูลสำคัญและคำสั่งโดยตรงจากมอสโกได้เกือบทั้งหมดตั้งแต่ปี 1948-1952
กองทัพสหรัฐฯ เห็นว่าแผนนี้ประสบความสำเร็จจึงจับมือกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อทำแบบเดียวกัน แต่ครั้งนี้จะต้องทำในกรุงเบอร์ลินตะวันออก ซึ่งหลังจากนาซีเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โซเวียตได้รับดินแดนเยอรมันตะวันออกมาไว้ในครอบครอง ส่วนเบอร์ลินตะวันตกถูกดูแลโดย อังกฤษ สหรัฐฯ และฝรั่งเศส
ในปี 1953 ซีไอเอและเอสเอเอสร่วมมือกันเปิด Operation Gold พวกเขาเลือกที่จะเก็บความลับนี้เอาไว้และรู้เพียงคนที่จำเป็นเท่านั้น ฉากบังหน้าคือคลังเก็บสินค้าใต้ดินที่ลึกกว่า 7 เมตร ปฏิบัติการนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 1 ปีเต็ม อุโมงค์มีความยาวกว่า 450 เมตร เพื่อไปยังจุดชุมสายโทรศัพท์ใต้ดินของกรุงเบอร์ลินพร้อมด้วยอุปกรณ์ดักฟัง และเครื่องมือต่างๆ อีกจำนวนมาก สูญเงินไปกว่า 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่มันก็ทำให้ซีไอเอและเอสเอเอส สามารถดักฟังข้อมูลของโซเวียตเป็นเทปเสียงถึง 50,000 ม้วนเลยทีเดียว ก่อนนำข้อมูลส่งกลับไปยังกรุงลอนดอนเพื่อถอดความหมาย
จนกระทั่งในปี 1956 เกิดฝนตกหนักมากปริมาณน้ำฝนได้ท่วมกรุงเบอร์ลิน น้ำท่วมขังเผยให้เห็นร่องรอยของสายไฟใต้ดิน ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงชาวโซเวียตพบร่องรอยของอุโมงค์ลับนี้เข้า และได้บุกเข้าไปปิดอุโมงค์ลับนี้ลง
ในช่วงเวลานั้นโซเวียตออกแถลงการประณามการกระทำของสหรัฐฯ ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ...
แต่โชคยังดีที่ทางโซเวียตเองก็ไม่ได้นำหลักฐานเหล่านี้มาเพื่อเป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ เพราะช่วงเดียวกันนั้นโซเวียตกำลังเจรจาเป็นพันธมิตรอยู่กับอังกฤษพอดิบพอดี ไม่งั้นสงครามนิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้