ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

ตำนานดาบอาหรับ Shamshir ดาบโค้ง

👏ตำนานดาบอาหรับ ‘Shamshir’ ดาบโค้งพิมพ์นิยมที่แพร่ขยายไปทั่วโลก
หากเอ่ยถึงดาบที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด เชื่อว่าหลายคนจะต้องพูดถึง “ดาบซามูไร” เป็นอันดับแรกๆ แน่นอน แต่รู้มั้ยว่าดาบชนิดนี้ที่ไม่ได้คุ้นหูใครหลายคนเท่าใดนัก คือดาบยอดนิยมที่กลายเป็นต้นแบบไปทั่วโลก ยิ่งกว่าดาบซามูไรเสียอีก

ย้อนกลับไปในสมัยอาวุธปืนยังไม่ถูกคิดค้น ดาบคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ซึ่ง “ดาบโค้ง” คือรูปแบบที่ถูกใช้งานมากที่สุด มันเป็นหนึ่งในรูปทรงดาบที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ชัดเจน รู้เพียงแต่มันถูกคิดค้นโดยชาวมุสลิม ครั้งทำสงครามระหว่างทหารชาวมุสลิมกับชาวเปอร์เซีย ชาวมุสลิมเป็นฝ่ายมีชัยด้วย
อาวุธที่อันตรายกว่าจนขยายอำนาจไปอย่างเกรียงไกร
ต่อมาชาวเปอร์เซียจึงนำแนวคิดดาบโค้งงอนี้มาใช้กับดาบตัวเองบ้าง โดยใช้ชื่อว่า “Shamshir” ชาวเปอร์เซียสร้างดาบรูปทรงยาวคล้ายกระบี่ที่โค้งงอส่วนกลางไปจนถึงปลายดาบ และนำมาใช้ทำสงครามช่วงที่จักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ และแผ่ขยายอำนาจไปยังดินแดนอื่นๆ กล่าวกันว่า “แม้ชาวอาหรับจะเป็นผู้สร้างแต่ชาวเปอร์เซียคือผู้ที่ทำให้ดาบชนิดนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”
ต่อมาอาวุธชนิดนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วเอเชีย ชาวมองโกลมีอาวุธเป็นดาบลักษณะโค้งงอเช่นเดียวกับดาบ Shamshir ซึ่งเป็นอาวุธหลักในการทำสงครามขยายดินแดนรุกรานรัสเซีย ซึ่งเมื่อรัสเซียเห็นดาบทรงนี้ก็ถูกใจก่อนนำไปสร้างขึ้นเองบ้าง และรูปทรงของดาบก็เริ่มเป็นที่นิยมในฮังการี และโปแลนด์ จนกระทั่งในช่วงศตวรรที่ 18 ดาบทรงโค้งนี้ก็ได้กลายมาเป็นอาวุธประจำกายทหารม้าในยุโรปเรื่อยมา
มันจึงจัดเป็นดาบที่โด่งดังที่สุดในอดีตและเป็นที่นิยมอย่างมากในการรบ ดาบ “Shamshir” จึงเป็นอาวุธที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลก มากกว่าดาบชื่อดังอย่างซามูไรที่เรารู้จักกันซะอีก!

ตะลึงหลังขุดพบสุสานวานร นักวิชาการเชื่อ ซุกหงอคง อาจจะเคยมีชีวิตอยู่จริง

🐵ทั่วโลกตะลึง!! หลังขุดพบสุสานวานรนักวิชาการเชื่อ
ซุกหงอคง อาจจะเคยมีชีวิต
อยู่จริง
ทุกคนคงจะเคยดู “ไซอิ๋ว”
กันใช่มั้ย ตัวเอกคือเห้งเจีย หรือซุนหงอคง ผู้มีนิสัยกล้าหาญมีอำนาจวิเศษ ที่หลายๆคนชื่นชอบ และบางทีซุนหงอคงอาจจะมีอยู่จริงก็ได้ เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้นักโบราณคดีจีนพบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง!นักโบราณคดีและ
นักประวัติศาสตร์พบ
😁“ศาลเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์คู่”
ในเขต Shunchang มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน ทำให้เกิดการโต้เถียงกันในสังคม
ศาลเจ้านี้มีขนาดประมาณ 15 ตารางเมตร ในศาลเจ้ามีป้ายชื่อเทพเจ้าอยู่สองอัน อันหนึ่งเขียนว่า「通天大聖」อ่านว่า Tōngtiān dàshèng แปลว่า สวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ อีกป้ายเขียนว่า 「齊天大聖」อ่านว่า Qí tiān dàshèng แปลว่าเทพเจ้าวานร ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของซุนหงอคง
เดิมทีเราคิดกันว่าเป็นศาลเจ้าที่สร้างตามเรื่องเล่าในตำนาน แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนักโบราณคดีสำรวจอย่างละเอียดจะพบว่าจริงๆแล้วที่นี่เป็นสุสานฝังศพโบราณ ทำให้พวกเขาสงสัยกันอย่างยิ่งว่า ใครกันที่จะใช้ชื่อว่า เทพเจ้าวานร 
ชื่อของซุนหงอคงบนป้ายหลุมศพ ปรากฏว่าหลังจากขุดขึ้นมาดูก็พบว่า
หลังนักโบราณคดีขุดสุสานขึ้นมาดู ก็พบสิ่งที่เหมือนกับในเรื่องเล่า พวกเขาพบ “มงคล” 
ที่รัดอยู่บนหัวของหงอคง! 
นอกจากมงคลแล้ว บริเวณในสุสานยังตกแต่งอย่างงดงาม ทำให้นักโบราณคดีต้องสงสัยมาก ไม่เข้าใจว่าซุนหงอคงที่ควรจะเป็นเทพเจ้าในตำนาน กลับมีศาลเจ้าอยู่ที่นี่และถูกฝังเหมือน “คน” ที่เคยมีชีวิตอยู่
แถมยังมีกระบองวิเศษในตำนาน! ที่ปกติจะเก็บไว้ในรูหู สามารถยืด-หดได้ ซึ่งเดิมเป็นเสาค้ำมหาสมุทร จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ กระบองอันนี้บริสุทธิ์มาก มีสารประกอบที่เกิดจากการสะสมมากว่าร้อยๆปี ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน
Wang Yimin ผู้อำนวยการ Shunchang Cultural Center คิดว่าซุนหงอคงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนมาก เพราะจากละครในสมัยราชวงศ์หยวน ซุนหงอคงมีพี่น้องถึง 5 คน
เขาเชื่อว่า ในตำนาน ในนิยาย มักจะเอาคาแรกเตอร์ของหลายๆคนมาหลอมรวมเป็นคนใหม่ อู๋เฉิงเอิน ผู้เขียนเรื่องไซอิ๋วก็เอาคาแรกเตอร์หลากหลายเหล่านี้มารวมกันเป็นซุนหงอคงในนิยาย ทำให้คนสับสนได้
แต่ก็มีนักวิชาการจีนคิดว่า ซุนหงอคงอาจจะเป็นคนจริงๆถึงได้มาปรากฏตัวในละครของราชวงศ์หยวน แล้วสุดท้ายก็ถูกเอามาเขียนเป็นนิยาย อัปเกรดเป็นตัวละครในตำนาน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าสุสานของเทพเจ้าวานรแห่งนี้เป็นของจริงหรือเป็นแค่ตำนาน แต่นักวิชาการเชื่อว่า ในประวัติศาสตร์จะต้องมีคาแรกเตอร์ของใครสักคนที่เป็นเหมือน “เทพเจ้าวานร” มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ถึงได้มีสุสานแบบนี้

เจอแล้วเรือดำน้ำที่หายไป 100 ปี จมก้นทะเลตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1

📰เจอแล้วเรือดำน้ำที่หายไป 100 ปี จมก้นทะเลตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1
บีบีซีรายงานว่าทางการออสเตรเลียออกมาเปิดเผยการพบซากเรือดำน้ำตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือประมาณร้อยปี
ที่ผ่านมา โดยการค้นพบดังกล่าวเป็นการไขความลึกลับที่หลายฝ่ายเคยเคลือบแคลงสงสัยมานาน

ทางการออสเตรเลียออกมาเปิดว่าพบเรือดำน้ำ เฮชเอ็มเอเอส เออี-1 ซึ่งเป็นเรือดำน้ำลำแรกที่ฝ่ายพันธมิตรสูญเสียพร้อมกับลูกเรือชาวอังกฤษและออสเตรเลีย 35 นาย ไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงปี 2457 
หลังจากอับปางนอกชายฝั่งเมืองราบาอู ประเทศปาปัวนิวกินี

การค้นพบครั้งนี้เจอบริเวณชายฝั่งของเกาะดยุกออฟยอร์ก ในประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งการค้รพบดังกล่าวทางทีมค้นหาได้ใช้โดรนใต้น้ำดำลึกลงไปในทะเลประมาณ 40 เมตร และพบซากเรือจมลึกลงไปกว่า 300 เมตร
ทีมค้นหาใช้โดรนใต้น้ำเพื่อค้นหาซาก
น.ส.มาริส เพย์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวถึงการค้นพบครั้งนี้ว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ของการเดินเรือออสเตรเลีย พร้อมกล่าวว่าเรือดำน้ำที่พบเป็นเรือดำน้ำของราชนาวีออสเตรเลียและฝ่ายสัมพันธมิตรที่สูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตลอดจนเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญสำหรับออสเตรเลียและชาติพันธมิตร
ทั้งนี้ ทางทีมค้นหากำลังจัดเตรียมหาข้อมูลผู้เสียชีวิตในเรือดำน้ำลำดังกล่าวตลอดจนรัฐบาลปาปัวนิวกินีเพื่อแจ้งไปยังญาติของทหารที่เคยประจำอยู่ในเรือดำน้ำลำดังกล่าว นอกจากนี้รัฐมนตรีกลาโหมยังกล่าวด้วยว่าทางออสเตรเลียอาจจะหาสาเหตุเพิ่มเติมถึงต้นตอของการจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรของเรือดำน้ำลำนี้
ทีมค้นหา
นอกจากนี้ในเว็บไซต์ซีเวฟได้รายงานถึงเรือดำน้ำลำนี้ไว้ว่าได้หายอย่างไร้สาเหตุในช่วงระหว่างที่กำลังลาดตระเวนอยู่นอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี และก่อนหน้านี้ไม่เคยมีผู้ใดพบศพหรือซากเรือมาก่อน

นอกจากนี้เรื่องการหายไปของเรือดำน้ำ
ลำดังกล่าวถูกเบียดบังออกจากหน้าประวัติศาสตร์ โดยเรื่องศึกทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่างทหารอังกฤษและทหารจากเยอรมัน รวมถึงศึกที่กัลลิโปลิ หรือการฉากสงครามระหว่างอาณาจักรอ็อตโตมัน กับอังกฤษ  ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เช่นเดียวกัน

เรื่องเร้นลับของป่าอาถรรพ์ในอเมริกา ที่เด็กชายนับสิบคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

👽ป่ากินเด็ก! เรื่องเร้นลับของป่าอาถรรพ์ในอเมริกา ที่เด็กชายนับสิบคนหายไปอย่าง
ไร้ร่องรอย ฝีมือมนุษย์หรือสิ่งที่มองไม่เห็น?
อุทยานแห่งชาติ Angeles ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกยกให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่ปี 1908 เป็นผืนป่าที่มีประวัติศาสตร์สำคัญของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผืนป่าแห่งนี้มักจะเกิดเหตุไฟป่าครั้งใหญ่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ได้รับความนิยมในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่เหล่านักผจญภัยมักจะมาตั้งแคมป์กันอยู่เสมอ

แต่อีกด้านของป่าแห่งนี้นั้นถูกกล่าวขานในฐานะป่าอาถรรพ์ที่กลืนกินเด็กอย่างไร้ร่องรอยมานับสิบคน เรื่องราวของป่าแห่งนี้ถูกร่ำลือขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ1960 เมื่อเด็กชายอายุ 13 ปีสองคนที่มาปิคนิคกับครอบครัวและออกไปขี่จักรยานเล่นภายในพื้นที่รอบๆ บริเวณที่ทางอุทยานได้จัดเป็นพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ แต่ทว่าเด็กชายทั้งสองคนไม่เคยได้กลับมาหาครอบครัวอีกเลย

เจ้าหน้าที่จึงทำการออกค้นเป็นระยะเวลากว่า 7 วันก็ไม่พบร่างของเด็กชายทั้งสองคน พบก็เพียงจักรยานที่ถูกจอดไว้ริมแม่น้ำพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตเพียงเท่านั้น เหตุการณ์เด็กหายในป่านั้นก็เกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีให้หลัง เด็กชายวัย 8 ขวบและผู้เป็นแม่ ได้เดินเข้ามายังป่าข้างๆ จุดกางเต็นท์ที่เดียวกับที่เด็กชายทั้งสองคนหายตัวไป ซึ่งแม่ของเด็กเล่าให้ฟังในภายหลังว่าลูกชายวิ่งนำออกไปและเลี้ยวเข้าทางเดินที่มีลักษณะเป็นทางโค้งและลับตาไป ซึ่งผู้เป็นแม่ก็วิ่งตามเมื่อพ้นทางโค้งก็พบว่ามองไม่เห็นลูกชายของตนแล้ว

การตามหาในครั้งนี้เจ้าหน้าที่พบแค่รอยเท้าตรงจุดทางโค้งที่เด็กชายลับจากสายตาผู้เป็นแม่เท่านั้น เหมือนกับว่าจู่ๆ เด็กชายก็หายไปซะเฉยๆ ความอาถรรพ์ยังไม่จบเพียงเท่านี้ อีกสองปีถัดมา เด็กชายวัยหกขวบที่มาตั้งแคมป์ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ลูกเสือรวมทั้งหมด 80 คน ก็ได้หายไปในขณะที่กำลังเดินทางไกล โดยเด็กชายจะขอตัวผู้ควบคุมหมู่ไปทำธุระส่วนตัว ซึ่งผู้ควบคุมก็ได้เดินพาเด็กชายไปทำธุระที่หลังต้นไม้ โดยให้เด็กชายอ้อมไปที่ต้นไม้อีกฝั่ง หลังจากนั้นเด็กชายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เรื่องราวอาถรรพ์ของ “ป่ากินเด็ก” นั้นกลายเป็นที่หวาดกลัวของคนในพื้นที่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของชาวอินเดียนแดงที่ลักพาตัวเด็กไป บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่มีลักษณะคล้ายลิงไร้หางขนาดใหญ่ที่โหนต้นไม้มาโฉบเด็กๆ ไปเพื่อนำไปเลี้ยงไว้ดูเล่น ซึ่งเรื่องราวที่เป็นปริศนานี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพรานป่าผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณป่า เขาถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการหายตัวของเด็กๆ ทั้งหมด จนสุดท้ายก็เกิดความกดดันจนต้องฆ่าตัวตายไป สุดท้ายเมื่อพรานป่าตายไปเหตุการณ์เด็กหายภายในป่าก็ยังคงเกิดขึ้น โดยไม่เคยมีใครพบร่างเด็กที่หายไปเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องราวทั้งหมดจึงยังเป็นปริศนา

การค้นพบครั้งสำคัญซากสิงโตอายุ55,000ปีที่สมบูรณ์ที่สุดในไซบีเรีย

การค้นพบครั้งสำคัญ! ซากสิงโตที่สมบูรณ์ที่สุดในไซบีเรีย ที่อาจอธิบายการสูญพันธุ์ของแมมมอธได้

การค้นพบที่น่าตื่นตาตื่นของนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์ เมื่อซากของลูกสิงโตสองตัวถูกพบในชั้นดินบริเวณเขตไซบีเรียประเทศรัสเซีย ในสภาพที่สมบูรณ์ชนิดที่ว่านักวิทยาศาสตร์ยังทึ่ง! เพราะมันอาจมีอายุมากถึง 55,000 ปี

แต่มันเหมือนเพิ่งจะตายได้ไม่กี่เดือนลูกสิงโตสองตัวนี้ถูกพบในช่วงฤดูร้อนปี 2015 ในเขตไซบีเรีย ที่คาดว่าทั้งสองตัวเป็นพี่น้องกัน เป็นสิงโตที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล
ทั้งคู่มีอายุ่ราว 1-2 สัปดาห์เท่านั้นก่อนเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตภายในถ้ำที่ถล่มลงมาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยถูกสันนิษฐานว่ามีอายุราว 12,000 สองพันปีในตอนแรก แต่ภายหลังพบว่าอาจมีอายุถึง 55,000 ปีโดยประมาณ 

เพิ่มคำอธิหลังตรวจสอบเพอร์มาฟรอสท์ (Permafrost) หรือชั้นดินที่อยู่ในสภาพต่ำกว่าจุดเยือกแข็งพบว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในยุคน้ำแข็ง 25,000 ถึง 55,000 ปีก่อนที่รู้จักในชื่อ “สิงโตถ้ำ”หรือ Panthera leo spelaea
นักวิเคราะห์ได้ทำการสแกนด้วย CT scan พบว่า มีของเหลวบางอย่างอยู่ภายในกระเพาะอาหารที่คล้าย “น้ำนมของแม่สิงโต”
หรือของเหลวบางชนิด แต่ด้วยซากของลูกสิงโตเป็นสิ่งที่สำคัญและค่อนข้างบอบบางทำให้ยังไม่สามารถที่จะผ่าหรือนำของเหลวออกมาทำการตรวจพิสูจน์ได้ แล้วหากเหลวภายในกระเพาะของลูกสิงโตเป็นน้ำนมของแม่สิงโตจริงๆ พวกเขาจะสามารถวิเคราะห์สิ่งที่แม่สิงโตจากยุคโบราณกินเป็นอาหารเมื่อราวหมื่นปีก่อนได้อย่างละเอียด แล้วมันอาจนำไปสู่คำตอบว่าทำไม่สิงโตถ้ำเหล่านี้ถึงสูญพันธุ์

แต่ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ยังไม่มีเครื่องมือใดที่สามารถวิเคราะห์อวัยวะภายในของซากลูกสิงโตทั้งสองโดยไม่สร้างความเสียหาย มันจึงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เพื่อรอความก้าวหน้าของอุปกรณ์ที่จะไม่ส่งผลต่อซากของสัตว์โบราณชนิดนี้ โดยหวังว่าวันนึงเราจะทราบว่าทำไมสิงโตถ้ำที่อยู่ในยุคเดียวกับแมมมอธถึงสูญพันธ์ุไปจากโลกที่ยังคาใจใครหลายคนได้.
Panthera leo spelaea

สัตว์ปีศาจสยองBunyip


สัตว์ปีศาจสยอง! ‘Bunyip’ ตำนานสัตว์ประหลาดสุดโหดแห่งออสเตรเลียที่ออกล่ามนุษย์เป็นอาหาร

Bunyip คือชื่อเรียกของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของชาวอะบอริจิน ว่ากันว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำทั่วออสเตรเลียเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ก่อนที่ชาวอะบอริจินจะเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียเสียอีก เมื่อขึ้นชื่อว่าสัตว์ประหลาดแน่นอนว่ารูปร่างของมันย่อมไม่เหมือนกับสัตว์ทั่วไป 

ซึ่งชาวอะบอริจินเองก็ได้อธิบายลักษณะของเจ้า Bunyip ว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้มีหน้าเหมือนกับสุนัขพันธุ์บูลด็อก คอของมันค่อนข้างยาว และมีปากคล้ายกับนกอีมู อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ โดยชาวอะบอริจินเชื่อว่า Bunyip ไม่ได้เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แต่เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดจากสิ่งชั่วร้ายที่สิงสถิตอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆ หรือจะเรียกว่ามันคือปีศาจในคราบของสัตว์ประหลาดก็ได้เช่นกัน

Bunyip เป็นสัตว์ประหลาดที่มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก หากใครเข้าไปใกล้กับแหล่งน้ำที่มันอยู่อาศัย ก็จะโดนมันจับกินเป็นอาหารทันที นอกจากนี้มันยังมีเสียงคำรามที่ดังกึกก้องมากๆ โดยมันจะคำรามทุกครั้งที่ล่าเหยื่อ และทุกครั้งที่ฝนเริ่มตก ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตลอดเวลา เพราะเมื่อถึงฤดูร้อนที่น้ำแห้งหายไปเจ้า Bunyip ก็จะหายตัวไปด้วย 
โดยมันไมได้ย้ายถิ่นฐานไปไหนแต่จะฝังตัวอยู่ใต้โคลนเพื่อรอให้ฤดูฝนมาถึงอีกครั้งอย่างไรก็ดีตำนานเรื่องเล่าของ Bunyip ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของชาวอะบอริจินเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น 

ยังปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของชาวตะวันตกที่ได้เดินทางมาออสเตรเลีย และได้พบกับเจ้า Bunyip ในช่วง ค.ศ. 1800 โดยชาวตะวันตกอธิบายลักษณะของเจ้า Bunyip ว่า “สัตว์ประหลาดตัวนี้มีขา 4 ขา ในแต่ละขาจะมีเล็บทั้งหมด 3 เล็บ มันมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 10 – 12 ฟุต ที่บริเวณแผ่นหลังของมันมีขนขึ้นปกคลุมยาวไปจนถึงส่วนที่มีลักษณะคล้ายกับหาง ซึ่งในส่วนที่คาดว่าจะเป็นหางนี้ยังมีลักษณะเหมือนกับ ครีบหางของปลาอีกด้วย”

โดยปี 1800 ถือเป็นปีที่มีรายงานการพบเห็น Bunyip บ่อยมากที่สุด เพราะมีรายงานการพบเห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ไปทั่วออสเตรเลียเลยทีเดียว ที่น่าสนใจก็คือทุกคนที่พบเห็นสามารถอธิบายลักษณะของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ค่อนข้างเหมือนกัน ทำให้หลายคนเชื่อว่าเจ้าสัตว์ประหลาด Bunyip น่าจะมีตัวตนอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเล่าของ Bunyip ยังมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวอะบอริจิน ซึ่งโดยปกติแล้วชาวอะบอริจิน มักจะมีลักษณะนิสัยที่ชอบเขียนภาพต่างๆ ในสิ่งที่พวกเขาพบเจอ และหลายภาพก็ได้กลายเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของออสเตรเลียอีกด้วย 

น่าแปลกที่เรื่องราวของ Bunyip กลับไม่มีปราฏอยู่ในภาพเขียนของชาวอะบอริจิน หลายคนจึงเชื่อว่าที่มีตำนานเรื่องเล่าแต่ไม่มีภาพวาดเป็นเพราะชาวอะบอริจินเองก็กลัวเจ้า Bunyip จนไม่กล้าเข้าใกล้ที่อยู่อาศัยของมันเช่นกัน
ทำให้จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าสัตว์ประหลาด Bunyip ในตำนานของชาวอะบอริจิน ที่กลายเป็นเรื่องเล่ามาอย่างยาวนานหลายศตวรรษแท้จริงแล้วมันมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่?

แอร์ซาตซ์ Ersatzอาหารเทียมยุคสงครามโลกครั้งที่1


แอร์ซาตซ์ (Ersatz) 
อาหารยุคสงครามโลกครั้งที่1
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอังกฤษฝรั่งเศสอเมริกาและรัสเซียกับฝ่ายมหาอำนาจกลางที่นำโดยเยอรมันออสเตรีย–ฮังการีและตุรกีสงครามดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 จนถึง ค.ศ. 1918 และได้ล้างผลาญชีวิตมนุษย์ไปเป็นจำนวนหลายล้านคน

ในระหว่างสงครามอังกฤษได้ใช้กลยุทธปิดล้อมเยอรมันทางทะเล เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเยอรมันมีความสามารถในการผลิตอาหารได้เพียงร้อยละแปดสิบของปริมาณความต้องการทั้งประเทศและต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละยี่สิบ ดังนั้นเมื่อถูกปิดล้อมทางทะเลจึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นในเยอรมัน จนชาวเยอรมันในยุคนั้นต้องหันไปพึ่งอาหารเทียม

อาหารเทียมหรือที่เรียกว่าแอร์ซาตซ์ (Ersatz) เป็นอาหารที่ถูกผลิตขึ้นให้มีความใกล้เคียงกับอาหารจริง ๆ แม้ว่าวัสดุบางอย่างอาจดูเหมือนไม่น่าจะกินได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยต่อชีวิตของผู้คนที่กำลังหิวโหยให้อยู่รอดไปได้จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง และต่อไปนี้คือบางส่วนของอาหารแอร์ซาตซ์ที่ชาวเยอรมันในยุคนั้นกินกัน

ขนมปัง – ถูกเปลี่ยนจากใช้แป้งสาลีทำมาเป็นแป้งที่ทำจากถั่วและถั่วลันเตา นอกจากนี้ยังผสมผงขี้เลื่อยลงไปในแป้งสำหรับอบขนมปังเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณด้วย

ขนมเค้ก – ทำจากแป้งเกาลัดและแป้งที่ได้จากต้นโคลเวอร์

เนื้อ – ความขาดแคลนเนื้อสัตว์ทำให้มีการนำเอาข้าวสับผสมเศษเนื้อแกะมาบริโภคแทน นอกจากนี้ยังมีการบริโภคสเต๊กผักซึ่งผลิตมาจากผักขมมันฝรั่งถั่วลิสงและไข่เทียมนำมาบดผสมและอัดรวมกันเป็นชิ้น

เนย – ได้ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมแป้งลงไป นอกจากนี้ยังมีการทำเนยจากนมที่จับตัวเป็นก้อนผสมกับน้ำตาลและใส่สีเหลืองลงไป

ไข่เทียม – ทำมาจากข้าวโพดผสมมันฝรั่ง

พริกไทย – ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมขี้เถ้าลงไป

ไขมัน – ได้มีความพยายามสกัดไขมันจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งจากหนูนาหนูบ้านอีกาแมลงสาบ (แหวะ) หอยทากรองเท้าบู๊ตและรองเท้าอื่น ๆ แต่ไม่มีวิธีไหนเวิร์คเท่าที่ควร

กาแฟ – กาแฟเทียมทำจากลูกนัตอบและปรุงรสด้วยน้ำมันดิน (อันนี้นึกถึงในเมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีกาแฟปลอมที่ทำจากเม็ดมะขามคั่วเอามาบดแทนเม็ดกาแฟเหมือนกัน)
คงไม่ต้องห่วงว่าผู้ที่กินอาหารเหล่านี้เข้าไปจะมีสุขภาพเป็นอย่างไรเพราะในช่วงเวลานั้นขอเพียงมีอาหารยาไส้ก็นับว่าดีพอแล้ว 

เพราะท้ายที่สุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายในปี ค.ศ.  1918 แม้แต่อาหารแอร์ซาตซ์ก็ไม่มีเหลือและสิ่งที่ชาวเยอรมันต้องกินเพื่อประทังชีวิตก็มีเพียงหัวผักกาดกับเศษอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น …..นี่แหละรสชาติอันแสนโหดร้ายของสงคราม