ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

ตำนานดาบอาหรับ Shamshir ดาบโค้ง

👏ตำนานดาบอาหรับ ‘Shamshir’ ดาบโค้งพิมพ์นิยมที่แพร่ขยายไปทั่วโลก
หากเอ่ยถึงดาบที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด เชื่อว่าหลายคนจะต้องพูดถึง “ดาบซามูไร” เป็นอันดับแรกๆ แน่นอน แต่รู้มั้ยว่าดาบชนิดนี้ที่ไม่ได้คุ้นหูใครหลายคนเท่าใดนัก คือดาบยอดนิยมที่กลายเป็นต้นแบบไปทั่วโลก ยิ่งกว่าดาบซามูไรเสียอีก

ย้อนกลับไปในสมัยอาวุธปืนยังไม่ถูกคิดค้น ดาบคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ซึ่ง “ดาบโค้ง” คือรูปแบบที่ถูกใช้งานมากที่สุด มันเป็นหนึ่งในรูปทรงดาบที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ชัดเจน รู้เพียงแต่มันถูกคิดค้นโดยชาวมุสลิม ครั้งทำสงครามระหว่างทหารชาวมุสลิมกับชาวเปอร์เซีย ชาวมุสลิมเป็นฝ่ายมีชัยด้วย
อาวุธที่อันตรายกว่าจนขยายอำนาจไปอย่างเกรียงไกร
ต่อมาชาวเปอร์เซียจึงนำแนวคิดดาบโค้งงอนี้มาใช้กับดาบตัวเองบ้าง โดยใช้ชื่อว่า “Shamshir” ชาวเปอร์เซียสร้างดาบรูปทรงยาวคล้ายกระบี่ที่โค้งงอส่วนกลางไปจนถึงปลายดาบ และนำมาใช้ทำสงครามช่วงที่จักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจ และแผ่ขยายอำนาจไปยังดินแดนอื่นๆ กล่าวกันว่า “แม้ชาวอาหรับจะเป็นผู้สร้างแต่ชาวเปอร์เซียคือผู้ที่ทำให้ดาบชนิดนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”
ต่อมาอาวุธชนิดนี้ก็ได้แพร่หลายไปทั่วเอเชีย ชาวมองโกลมีอาวุธเป็นดาบลักษณะโค้งงอเช่นเดียวกับดาบ Shamshir ซึ่งเป็นอาวุธหลักในการทำสงครามขยายดินแดนรุกรานรัสเซีย ซึ่งเมื่อรัสเซียเห็นดาบทรงนี้ก็ถูกใจก่อนนำไปสร้างขึ้นเองบ้าง และรูปทรงของดาบก็เริ่มเป็นที่นิยมในฮังการี และโปแลนด์ จนกระทั่งในช่วงศตวรรที่ 18 ดาบทรงโค้งนี้ก็ได้กลายมาเป็นอาวุธประจำกายทหารม้าในยุโรปเรื่อยมา
มันจึงจัดเป็นดาบที่โด่งดังที่สุดในอดีตและเป็นที่นิยมอย่างมากในการรบ ดาบ “Shamshir” จึงเป็นอาวุธที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลก มากกว่าดาบชื่อดังอย่างซามูไรที่เรารู้จักกันซะอีก!

ตะลึงหลังขุดพบสุสานวานร นักวิชาการเชื่อ ซุกหงอคง อาจจะเคยมีชีวิตอยู่จริง

🐵ทั่วโลกตะลึง!! หลังขุดพบสุสานวานรนักวิชาการเชื่อ
ซุกหงอคง อาจจะเคยมีชีวิต
อยู่จริง
ทุกคนคงจะเคยดู “ไซอิ๋ว”
กันใช่มั้ย ตัวเอกคือเห้งเจีย หรือซุนหงอคง ผู้มีนิสัยกล้าหาญมีอำนาจวิเศษ ที่หลายๆคนชื่นชอบ และบางทีซุนหงอคงอาจจะมีอยู่จริงก็ได้ เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้นักโบราณคดีจีนพบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง!นักโบราณคดีและ
นักประวัติศาสตร์พบ
😁“ศาลเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์คู่”
ในเขต Shunchang มณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน ทำให้เกิดการโต้เถียงกันในสังคม
ศาลเจ้านี้มีขนาดประมาณ 15 ตารางเมตร ในศาลเจ้ามีป้ายชื่อเทพเจ้าอยู่สองอัน อันหนึ่งเขียนว่า「通天大聖」อ่านว่า Tōngtiān dàshèng แปลว่า สวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ อีกป้ายเขียนว่า 「齊天大聖」อ่านว่า Qí tiān dàshèng แปลว่าเทพเจ้าวานร ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของซุนหงอคง
เดิมทีเราคิดกันว่าเป็นศาลเจ้าที่สร้างตามเรื่องเล่าในตำนาน แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนักโบราณคดีสำรวจอย่างละเอียดจะพบว่าจริงๆแล้วที่นี่เป็นสุสานฝังศพโบราณ ทำให้พวกเขาสงสัยกันอย่างยิ่งว่า ใครกันที่จะใช้ชื่อว่า เทพเจ้าวานร 
ชื่อของซุนหงอคงบนป้ายหลุมศพ ปรากฏว่าหลังจากขุดขึ้นมาดูก็พบว่า
หลังนักโบราณคดีขุดสุสานขึ้นมาดู ก็พบสิ่งที่เหมือนกับในเรื่องเล่า พวกเขาพบ “มงคล” 
ที่รัดอยู่บนหัวของหงอคง! 
นอกจากมงคลแล้ว บริเวณในสุสานยังตกแต่งอย่างงดงาม ทำให้นักโบราณคดีต้องสงสัยมาก ไม่เข้าใจว่าซุนหงอคงที่ควรจะเป็นเทพเจ้าในตำนาน กลับมีศาลเจ้าอยู่ที่นี่และถูกฝังเหมือน “คน” ที่เคยมีชีวิตอยู่
แถมยังมีกระบองวิเศษในตำนาน! ที่ปกติจะเก็บไว้ในรูหู สามารถยืด-หดได้ ซึ่งเดิมเป็นเสาค้ำมหาสมุทร จากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ กระบองอันนี้บริสุทธิ์มาก มีสารประกอบที่เกิดจากการสะสมมากว่าร้อยๆปี ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน
Wang Yimin ผู้อำนวยการ Shunchang Cultural Center คิดว่าซุนหงอคงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนมาก เพราะจากละครในสมัยราชวงศ์หยวน ซุนหงอคงมีพี่น้องถึง 5 คน
เขาเชื่อว่า ในตำนาน ในนิยาย มักจะเอาคาแรกเตอร์ของหลายๆคนมาหลอมรวมเป็นคนใหม่ อู๋เฉิงเอิน ผู้เขียนเรื่องไซอิ๋วก็เอาคาแรกเตอร์หลากหลายเหล่านี้มารวมกันเป็นซุนหงอคงในนิยาย ทำให้คนสับสนได้
แต่ก็มีนักวิชาการจีนคิดว่า ซุนหงอคงอาจจะเป็นคนจริงๆถึงได้มาปรากฏตัวในละครของราชวงศ์หยวน แล้วสุดท้ายก็ถูกเอามาเขียนเป็นนิยาย อัปเกรดเป็นตัวละครในตำนาน แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าสุสานของเทพเจ้าวานรแห่งนี้เป็นของจริงหรือเป็นแค่ตำนาน แต่นักวิชาการเชื่อว่า ในประวัติศาสตร์จะต้องมีคาแรกเตอร์ของใครสักคนที่เป็นเหมือน “เทพเจ้าวานร” มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ถึงได้มีสุสานแบบนี้

เจอแล้วเรือดำน้ำที่หายไป 100 ปี จมก้นทะเลตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1

📰เจอแล้วเรือดำน้ำที่หายไป 100 ปี จมก้นทะเลตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1
บีบีซีรายงานว่าทางการออสเตรเลียออกมาเปิดเผยการพบซากเรือดำน้ำตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือประมาณร้อยปี
ที่ผ่านมา โดยการค้นพบดังกล่าวเป็นการไขความลึกลับที่หลายฝ่ายเคยเคลือบแคลงสงสัยมานาน

ทางการออสเตรเลียออกมาเปิดว่าพบเรือดำน้ำ เฮชเอ็มเอเอส เออี-1 ซึ่งเป็นเรือดำน้ำลำแรกที่ฝ่ายพันธมิตรสูญเสียพร้อมกับลูกเรือชาวอังกฤษและออสเตรเลีย 35 นาย ไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงปี 2457 
หลังจากอับปางนอกชายฝั่งเมืองราบาอู ประเทศปาปัวนิวกินี

การค้นพบครั้งนี้เจอบริเวณชายฝั่งของเกาะดยุกออฟยอร์ก ในประเทศปาปัวนิวกินี ซึ่งการค้รพบดังกล่าวทางทีมค้นหาได้ใช้โดรนใต้น้ำดำลึกลงไปในทะเลประมาณ 40 เมตร และพบซากเรือจมลึกลงไปกว่า 300 เมตร
ทีมค้นหาใช้โดรนใต้น้ำเพื่อค้นหาซาก
น.ส.มาริส เพย์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวถึงการค้นพบครั้งนี้ว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ของการเดินเรือออสเตรเลีย พร้อมกล่าวว่าเรือดำน้ำที่พบเป็นเรือดำน้ำของราชนาวีออสเตรเลียและฝ่ายสัมพันธมิตรที่สูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตลอดจนเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญสำหรับออสเตรเลียและชาติพันธมิตร
ทั้งนี้ ทางทีมค้นหากำลังจัดเตรียมหาข้อมูลผู้เสียชีวิตในเรือดำน้ำลำดังกล่าวตลอดจนรัฐบาลปาปัวนิวกินีเพื่อแจ้งไปยังญาติของทหารที่เคยประจำอยู่ในเรือดำน้ำลำดังกล่าว นอกจากนี้รัฐมนตรีกลาโหมยังกล่าวด้วยว่าทางออสเตรเลียอาจจะหาสาเหตุเพิ่มเติมถึงต้นตอของการจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรของเรือดำน้ำลำนี้
ทีมค้นหา
นอกจากนี้ในเว็บไซต์ซีเวฟได้รายงานถึงเรือดำน้ำลำนี้ไว้ว่าได้หายอย่างไร้สาเหตุในช่วงระหว่างที่กำลังลาดตระเวนอยู่นอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี และก่อนหน้านี้ไม่เคยมีผู้ใดพบศพหรือซากเรือมาก่อน

นอกจากนี้เรื่องการหายไปของเรือดำน้ำ
ลำดังกล่าวถูกเบียดบังออกจากหน้าประวัติศาสตร์ โดยเรื่องศึกทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นการปะทะกันระหว่างทหารอังกฤษและทหารจากเยอรมัน รวมถึงศึกที่กัลลิโปลิ หรือการฉากสงครามระหว่างอาณาจักรอ็อตโตมัน กับอังกฤษ  ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เช่นเดียวกัน

เรื่องเร้นลับของป่าอาถรรพ์ในอเมริกา ที่เด็กชายนับสิบคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

👽ป่ากินเด็ก! เรื่องเร้นลับของป่าอาถรรพ์ในอเมริกา ที่เด็กชายนับสิบคนหายไปอย่าง
ไร้ร่องรอย ฝีมือมนุษย์หรือสิ่งที่มองไม่เห็น?
อุทยานแห่งชาติ Angeles ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกยกให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่ปี 1908 เป็นผืนป่าที่มีประวัติศาสตร์สำคัญของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผืนป่าแห่งนี้มักจะเกิดเหตุไฟป่าครั้งใหญ่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ได้รับความนิยมในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่เหล่านักผจญภัยมักจะมาตั้งแคมป์กันอยู่เสมอ

แต่อีกด้านของป่าแห่งนี้นั้นถูกกล่าวขานในฐานะป่าอาถรรพ์ที่กลืนกินเด็กอย่างไร้ร่องรอยมานับสิบคน เรื่องราวของป่าแห่งนี้ถูกร่ำลือขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ1960 เมื่อเด็กชายอายุ 13 ปีสองคนที่มาปิคนิคกับครอบครัวและออกไปขี่จักรยานเล่นภายในพื้นที่รอบๆ บริเวณที่ทางอุทยานได้จัดเป็นพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ แต่ทว่าเด็กชายทั้งสองคนไม่เคยได้กลับมาหาครอบครัวอีกเลย

เจ้าหน้าที่จึงทำการออกค้นเป็นระยะเวลากว่า 7 วันก็ไม่พบร่างของเด็กชายทั้งสองคน พบก็เพียงจักรยานที่ถูกจอดไว้ริมแม่น้ำพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตเพียงเท่านั้น เหตุการณ์เด็กหายในป่านั้นก็เกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีให้หลัง เด็กชายวัย 8 ขวบและผู้เป็นแม่ ได้เดินเข้ามายังป่าข้างๆ จุดกางเต็นท์ที่เดียวกับที่เด็กชายทั้งสองคนหายตัวไป ซึ่งแม่ของเด็กเล่าให้ฟังในภายหลังว่าลูกชายวิ่งนำออกไปและเลี้ยวเข้าทางเดินที่มีลักษณะเป็นทางโค้งและลับตาไป ซึ่งผู้เป็นแม่ก็วิ่งตามเมื่อพ้นทางโค้งก็พบว่ามองไม่เห็นลูกชายของตนแล้ว

การตามหาในครั้งนี้เจ้าหน้าที่พบแค่รอยเท้าตรงจุดทางโค้งที่เด็กชายลับจากสายตาผู้เป็นแม่เท่านั้น เหมือนกับว่าจู่ๆ เด็กชายก็หายไปซะเฉยๆ ความอาถรรพ์ยังไม่จบเพียงเท่านี้ อีกสองปีถัดมา เด็กชายวัยหกขวบที่มาตั้งแคมป์ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ลูกเสือรวมทั้งหมด 80 คน ก็ได้หายไปในขณะที่กำลังเดินทางไกล โดยเด็กชายจะขอตัวผู้ควบคุมหมู่ไปทำธุระส่วนตัว ซึ่งผู้ควบคุมก็ได้เดินพาเด็กชายไปทำธุระที่หลังต้นไม้ โดยให้เด็กชายอ้อมไปที่ต้นไม้อีกฝั่ง หลังจากนั้นเด็กชายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เรื่องราวอาถรรพ์ของ “ป่ากินเด็ก” นั้นกลายเป็นที่หวาดกลัวของคนในพื้นที่ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของชาวอินเดียนแดงที่ลักพาตัวเด็กไป บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่มีลักษณะคล้ายลิงไร้หางขนาดใหญ่ที่โหนต้นไม้มาโฉบเด็กๆ ไปเพื่อนำไปเลี้ยงไว้ดูเล่น ซึ่งเรื่องราวที่เป็นปริศนานี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพรานป่าผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณป่า เขาถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการหายตัวของเด็กๆ ทั้งหมด จนสุดท้ายก็เกิดความกดดันจนต้องฆ่าตัวตายไป สุดท้ายเมื่อพรานป่าตายไปเหตุการณ์เด็กหายภายในป่าก็ยังคงเกิดขึ้น โดยไม่เคยมีใครพบร่างเด็กที่หายไปเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องราวทั้งหมดจึงยังเป็นปริศนา